เอ็มมา สโตน เพิ่งคว้าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่สองจาก Poor Things (2023) และนี่คือผลงานที่เธอตั้งใจกับมันและขุดค้นลงไปในตัวละครอย่างลึกที่สุด

Emma Stone นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมคนล่าสุดกับบทที่สุดจะเฟมินิสต์ใน Poor Things (2023)

ในวัยเพียง 35 ปี เอ็มมา สโตน (Emma Stone) ก็ได้คว้าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่สองจาก Poor Things (2023)ก่อนหน้านี้&nbsp;La La Land (2016) หนังดราม่า-มิวสิคัลซึ่งเธอรับบทเป็น มีอา นักแสดงสาวผู้มีฝันยิ่งใหญ่ในเมืองกว้าง และการที่ต้องทั้งร้องทั้งเต้น และถ่ายทอดอารมณ์หลากหลายของตัวละครที่กินเวลาตั้งแต่ช่วงตั้งไข่ในวงการบันเทิงไปจนถึงวันที่ประสบความสำเร็จ ก็ส่งให้สโตนคว้ารางวัลนำหญิงแห่งปีไปครอง ขณะที่คราวนี้ เธอเฉิดฉายในหนังของ ยอร์กอส ลานธิมอส (Yorgos Lanthimos) ผู้กำกับชาวกรีกอย่าง Poor Things หนังร่วมทุนสร้างสี่สัญชาติ (ไอร์แลนด์-สหราชอาณาจักร-สหรัฐอเมริกา-ฮังการี) กับบท เบลลา แบกซ์เตอร์ หญิงสาวที่ฆ่าตัวตายแต่กลับถูกปลุกให้คืนชีพขึ้นมาอีกครั้งโดยผ่าเอาสมองเด็กใส่เข้าไปแทน ก็ส่งให้เธอ 'คว้ามง' ไปครองจากการแสดงอันยอดเยี่ยมจนไม่อาจปฏิเสธ ไม่ว่าจะด้านการเคลื่อนไหวแบบเด็กในร่างกายผู้ใหญ่ การค่อยๆ เรียนรู้ความเลวทรามของโลก และการค่อยๆ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อตัวของตัวเองและความสัมพันธ์อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันว่า Poor Things ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักหน่วงอยู่ไม่น้อย ความที่ตัวละครเบลลาถือกำเนิดขึ้นมาในลักษณะแฟรงเกนสไตน์โดยมีมันสมองและจิตสำนึกแบบเด็ก เธอจึงได้เรียนรู้-ตื่นรู้เรื่องราวทางเพศอันแสนชวนฉงน ขณะที่เรื่องราวตั้งบริบทไว้ในยุควิกตอเรียนที่ระบบศีลธรรมและคริสต์ศาสนาส่งอิทธิพลต่อชีวิตคนทุกระเบียดนิ้ว เรื่องเพศจึงยิ่งกลายเป็นเรื่องที่พูดไม่ได้ โดยเฉพาะกับผู้หญิงที่เพียงแค่แสดงออกว่าต้องการทางเพศก็ถูกพิจารณาเป็นความผิดบาปไม่อาจให้อภัย&nbsp;หนังจึงพาคนดูสำรวจความอัดอั้นตันใจของการเป็นหญิงที่ถูกกรอบกรงของความเป็นชายกดทับไว้ เช่น ฉากที่เบลลาไปขายตัวเพื่อหาเลี้ยงชีพ เธอพยายามยื่นข้อเสนอให้โสเภณีสาวๆ ทั้งหลายเป็นฝ่ายเลือกลูกค้าเองเพราะจะได้ 'พึงใจ' กันทั้งสองฝ่าย แต่ข้อเสนอนี้ถูกปัดตกเนื่องจากเป็นข้อเสนอที่ลดทอนอำนาจของผู้ชายในการมีเพศสัมพันธ์ หรือเมื่อตัวละครชายที่เอ่ยอ้างว่าตัวเองเป็นนักรักเพราะชื่นชอบการมีเซ็กซ์กับหญิงมากหน้าหลายตา กลับทำท่าทีรับไม่ได้เมื่อเบลลาก็ออกปากอยากมีเซ็กซ์กับคนอื่นๆ เหมือนกัน เพราะสำหรับเขาถือเป็นเรื่องที่ต่ำช้าที่สุดของการเป็นหญิง (แต่ผู้ชายทำได้ ไม่ติดอะไร)ความที่หนังเต็มไปด้วยฉากโป๊เปลือยถึงพริกถึงขิง ทำให้มันถูกนักวิจารณ์หลายแห่งวิพากษ์ว่าช่างเหมือนหนังโป๊เวอร์ชันฉายขึ้นจอใหญ่เสียจริง ขณะที่อีกหลายสำนักก็พิจารณาว่าฉากอันแสนเดือดดาลดังกล่าวนั้นก็ไม่ได้ถูก 'จับจ้อง' ด้วยสายตาหื่นกามแม้สักน้อย และก็ไม่ได้เนิ่นนานกินเวลาอย่าง Blue Is the Warmest Colour (2013) ที่กลายเป็นหนังแสนอื้อฉาวสุดๆ เมื่อถ่ายฉากมีเพศสัมพันธ์ของตัวละครนานหลายนาทีด้วยสายตาและมุมกล้องแบบผู้ชาย&nbsp;ตัวสโตนเองนั้นนอกจากรับบทแสดงนำแล้วเธอยังรับบทเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย เท่ากับว่า ทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ในหนังเรื่องนี้ล้วนผ่านสายตาเธอแล้ว "ฉันว่ามันเหมือนเทพนิยายหรือไม่ก็การอุปมาอุปไมยอะไรสักอย่าง เพราะเรื่องในหนังมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ฉันชอบไอเดียที่ว่าเราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งในฐานะผู้หญิง มีร่างกาย ได้เห็นโลกเป็นครั้งแรกและพยายามทำความเข้าใจธรรมชาติของเพศ หรืออำนาจ หรือเงินตราหรือตัวเลือกต่างๆ รวมทั้งการที่สามารถเลือกตัวเลือกต่างๆ และใช้ชีวิตอยู่บนกฎที่เราเลือกเอง ไม่ใช่กฎที่สังคมกำหนด ฉันรู้สึกว่านี่ช่างเป็นโลกที่น่าสนใจเหลือเกิน" สโตนว่า&nbsp;<img src="https://media.thairath.co.th/image/htlr8z2wcAckwgKYEkb7yOeuD86CE4x1p1V2rtPha1hDrIe9vA1.jpg" data-id="101489" data-url="https://media.thairath.co.th/image/htlr8z2wcAckwgKYEkb7yOeuD86CE4x1p1V2rtPha1hDrIe9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">"ตัวยอร์กอสเองเป็นชาวยุโรป เขาจึงออกจะมีแนวคิดเสรีเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ขณะที่ฉันมาจากแอริโซนา เติบโตมาในฐานะเด็กหญิงอเมริกันคนหนึ่ง การได้เป็นประจักษ์พยานการเติบโตของเบลลา จากการเป็นคนที่สนแต่ตัวเองและออกจะพยายามทำให้คนรอบๆ ตัวพอใจหรืออะไรก็ตาม ทั้งยังกินทาร์ตไปเยอะมากในลิสบอน อยากสัมผัสประสบการณ์สุขสมต่างๆ หลากรูปแบบซึ่งเธอเรียนรู้จากการถูกผู้ชายกดทับอีกที สู่การเป็นหญิงสาวที่เป็นหมอและอยากช่วยคนในรูปแบบต่างๆ"สโตนทำการบ้านตัวละครอย่างละเอียดด้วยการแบ่งขั้นตอนการเติบโตของเบลลาเป็นห้าขั้นตอนกว้างๆ (จริงๆ เธอบอกว่าแบ่งไว้สิบขั้นตอน หากแต่เวลาในหนังสั้นเกินกว่าจะฉายให้เห็นพัฒนาการทั้งหมดได้ เธอกับลานธิมอสจึงย่นย่อให้เหลือเพียงห้าขั้นตอนใหญ่ๆ เท่านั้น) และค้นหาวิธีเคลื่อนไหวของเบลลาตั้งแต่เริ่มเรื่องไปจนจบเรื่องซึ่งตัวละครเคลื่อนไหวต่างกัน เนื่องจากเติบโตแล้ว รวมทั้งวิธีที่ตัวละครมองโลกและแสดงออกต่อสิ่งรอบตัวอย่างสุขุมนิ่งเงียบ มากกว่าจะกรีดร้องแบบที่เห็นในองก์แรกของหนัง "ยอร์กอสบอกฉันตั้งแต่แรกเลยว่า ยิ่งเบลลามีจุดประสงค์ของตัวเองมากเท่าไร เธอก็ยิ่งได้เรียนรู้และเติบโตมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งทำให้พวกผู้ชายหัวเสียด้วย หรือยิ่งเธอมีความคิดเห็นและความปรารถนาของตัวเอง ก็ยิ่งทำให้ผู้ชายพวกนี้เป็นบ้าเป็นบอกันไปหมด" สโตนบอก"แล้วฉันก็คิดว่า ความเป็นเฟมินิสต์ฝังอยู่ในเนื้อตัวของเบลลาผ่านความประสงค์ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ของเธอ ผ่านความสงสัย คำถามต่างๆ ที่เธอมีต่อโลก เพราะงั้นฉันว่าโดยเนื้อแท้แล้วเบลลาเป็นเฟมินิสต์นะ" สโตนบอกนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สโตนแสดงความเห็นเรื่องตัวละครกับความเป็นหญิง ย้อนไปสมัยเมื่อครั้งเธอรับบทนำใน Battle of the Sexes (2017) หนังที่ดัดแปลงจากชีวิตจริงของ บิลลี จีน คิง นักเทนนิสหญิงที่เรียกร้องความเท่าเทียมให้เพื่อนนักกีฬาในวงการ และลงสนามแข่งขันกับเพื่อนนักเทนนิสชายภายใต้กติกาเดียวกัน "มีฉากหนึ่งที่ฉันแสดงร่วมกับ บิลล์ พูลแมน (รับบทเป็นนักเทนนิส แจ็ค คราเมอร์) ที่ฉันว่าน่าสนใจมาก มีตอนที่เขาบอกว่า 'ผมรักพวกผู้หญิงนะ' และบิลลี จีนตอบเขาว่า 'ฉันรู้ว่าคุณรักผู้หญิงก็ต่อเมื่อเธออยู่แค่ในครัวและในห้องนอนเท่านั้น เมื่อไรก็ตามที่เธอลุกขึ้นมาเรียกร้องอะไรสักอย่าง คุณก็ทนไม่ได้แล้ว' ซึ่งฉันว่าอะไรแบบนี้ยังเกิดขึ้นจริงอยู่ในทุกวันนี้นะ แค่ว่าในหลายๆ แง่มุมกว่าเดิม"น่าสนใจที่ประโยคที่เธอยกตัวอย่างมาจากหนังตั้งแต่ปี 2017 ดูจะสวมทับเป็นเนื้อเดียวกันกับหนังปี 2023 ที่เพิ่งส่งเธอคว้านำหญิงยอดเยี่ยมเหลือเกิน และนี่ก็อาจเป็นภาพสะท้อนของการเป็นหญิงในกรอบเกณฑ์บางอย่างที่ผู้ชายเขียนไว้ในสังคมก็เป็นได้อ้างอิง<a href="https://www.refinery29.com/en-us/2017/09/172928/emma-stone-battle-of-the-sexes-interview" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.refinery29.com/en-us/2017/09/172928/emma-stone-battle-of-the-sexes-interview</a>&nbsp;<a href="https://www.numero.com/en/cinema/emma-stone-poor-things-pauvres-creatures-oscar-inteview" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.numero.com/en/cinema/emma-stone-poor-things-pauvres-creatures-oscar-inteview</a>&nbsp;<a href="https://www.vogue.fr/article/emma-stone-yorgos-lanthimos-poor-things-interview" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.vogue.fr/article/emma-stone-yorgos-lanthimos-poor-things-interview</a>&nbsp;<a href="https://www.youtube.com/watch?v=AC2_Tnkdz5E" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.youtube.com/watch?v=AC2_Tnkdz5E</a>

คริสเตน ดันสต์ (Kirsten Dunst) คือนักแสดงหญิงอีกหนึ่งคนที่อาจพูดได้เต็มปากว่าเกิดและโตมาในอ้อมแขนของฮอลลีวูด ทว่าตั้งแต่เธอเริ่มแสดงหนังเรื่องแรกในวัย 6 ขวบ หนึ่งปัญหาที่เธอยืนยันว่ามีมาตลอดก็คือความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ระหว่างนักแสดงหญิงกับนักแสดงชาย

คริสเตน ดันสต์ (Kirsten Dunst) อีกหนึ่งนักแสดงที่ยืนยันถึงรายได้ที่ไม่เคยมีคำว่า ‘เท่าเทียม’ ระหว่างนักแสดงหญิงกับนักแสดงชายในฮอลลีวูด

สำหรับเราที่ลองหยิบ Buffy The Vampire Slayer มาดูอีกครั้งด้วยเลนส์ของยุคสมัยปัจจุบันก็พบว่ามันเป็นซีรีส์ที่ ‘Woke’ มาก่อนกาล ในความพยายามส่งเมสเสจพลังหญิงด้วยการสร้างเฟมินิสต์ไอคอนสักคนเพื่อต่อสู้กับแนวคิด ‘Misogynist’ ในแง่มุมต่างๆ

27 ปี ‘Buffy The Vampire Slayer’ มือปราบแวมไพร์ผู้ต่อสู้กับแนวคิด Misogynist ผ่านมุมอ่อนแอในตัวเอง และยืนยันเรื่องพลังหญิงผ่าน ‘ทางเลือก’ ที่มีต่อเรื่องเซ็กซ์

ริโนะ ซาชิฮาระ (Rino Sashihara) หรือ ซัชชี่ อดีตไอดอลวง AKB48 ออกมาเปิดใจว่า เธอเลิกกับแฟนเก่า ด้วยเหตุผลที่ว่า รับไม่ได้กับนิสัยอันน่ากลัวและเกรี้ยวกราดบางอย่างของเขา ที่แสดงออกมาตอนเล่นเกมกับเธอ

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Films

Emma Stone นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมคนล่าสุดกับบทที่สุดจะเฟมินิสต์ใน Poor Things (2023)

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MAN ON FILM

RELATED

HOT TOPICS