ออโรร่า (Aurora) คือศิลปินชาวนอร์เวย์ที่มีทั้งความสามารถในการเขียนเพลงอันน่าจดจำ รวมถึงทัศนคติและหัวใจที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง
“ถ้าคุณเป็นเกย์ ถ้าคุณเป็นเควียร์ ถ้าคุณเป็นทรานส์เจนเดอร์ ฉันโคตรรักคุณเลยนะ เราไม่ได้ต้องการการรักษาอะไรหรอกค่ะ”
ข้างต้น คือหนึ่งในประโยคที่ ออโรร่า (Aurora) ศิลปินชาวนอร์เวย์กล่าวไว้เมื่อเธอมาเปิดคอนเสิร์ต 'The Gods We Can Touch Tour' ในไทยเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและยิ่งตอกย้ำว่าเธอคนนี้มีความพิเศษทั้งในความสามารถและหัวจิตหัวใจจริงๆ
ออโรร่าประเดิมผลงานเพลงครั้งแรกเมื่อปี 2012 จากเพลง Puppet ที่โด่งดังอยู่ในนอร์เวย์บ้านเกิดเธอ ก่อนที่อีกสองปีต่อมา Under Stars จะส่งให้เธอกลายเป็นศิลปินหน้าใหม่น่าจับตาในอุตสาหกรรมดนตรีอเมริกาและยุโรป มิหนำซ้ำ Running with the Wolves (2015) อัลบั้มอีพี (extended play-EP หมายถึงอัลบั้มที่มีจำนวนเพลงไม่มากเท่าอัลบั้มเต็ม) ของเธอก็ได้รับคำวิจารณ์แง่บวกมหาศาลจากนักวิจารณ์ดนตรี แจ้งเกิดเธอในฐานะ ศิลปินสาวชาวนอร์เวย์ผู้มาพร้อมเพลงนอร์ดิกโฟล์ค-ซินธ์ป๊อป และได้แสดงดนตรีออก The Tonight Show Starring Jimmy Fallon และ Conan ซึ่งเป็นรายการทอล์กโชว์ชื่อดังของสหรัฐฯ ที่ส่งให้เธอเป็นขวัญใจคนฟังเพลงชาวอเมริกัน (และชาวโลก) ได้อย่างไม่ยากเย็น
อย่างไรก็ตาม บทเพลงของออโรร่าที่ถูกพูดถึงอย่างมากนั้นคือ Queendom ซิงเกิลจากอัลบั้ม Infections Of A Different Kind - Step 1 (2018) ที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นบทเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองและเพศสภาพ “เหล่ามวยรองคือราชสีห์ของฉัน ความเงียบนั้นคือเสียงประสาน สตรีคือทหารหาญ แบกรับน้ำหนักแห่งชีวิตอยู่บนบ่า”
กับเพลงนี้ ออโรร่าพูดถึงไว้ชัดเจนว่ามันเกี่ยวกับความเป็นหญิงและพลังหญิง “เพลงนี้มีขึ้นเพื่อทุกคนที่ไม่เคยได้รับความเคารพ ฉันเป็นเฟมินิสต์เพราะฉันเป็นผู้หญิงแหละค่ะ ง่ายๆ อย่างนั้นเลย แต่เรื่องราวของคนรักเพศเดียวกันเป็นแรงบันดาลใจใหญ่ให้การเขียนเพลงมากกว่าการเป็นเฟมินิสต์อีกนะ” เธอบอก “อย่างตอนฉันไปบราซิล ได้เห็นบางพื้นที่ซึ่งบริบททางการเมืองและสังคมตีตราการรักเพศเดียวกันไว้เลวร้ายมาก และตอนนั้นก็บอกตัวเองว่า ‘เอาละ โลกมันแย่ ฉันจะเขียนเพลงเกี่ยวกับเรื่องนี้และสร้างโลกที่ดีกว่าเพื่อพวกเราให้ดู’ ฉันตั้งใจกับเรื่องนี้มากๆ นะคะ คือตอนนี้ฉันมีแฟนหนุ่มที่ก็ทรงชายแท้ (manly) มากเลย เคราหนากว่าใครที่ฉันเคยเจอมาทั้งชีวิตอีก แต่ก่อนหน้านี้ ฉันก็เคยมีแฟนหญิงมาก่อน คบกันตั้งปีนึงแน่ะ และฉันก็พึงใจมากกับสิ่งเหล่านี้ ได้สำรวจตัวเอง ได้รักสิ่งรอบๆ ตัวและรักตัวเองด้วย”
“ฉันไม่อยากเขียนเพลงเศร้าๆ แค่เพื่อทำให้คนร้องไห้ ไม่อย่างนั้นคงลงเอยด้วยการทำให้แฟนๆ ดิ่งวูบเป็นจำนวนมาก นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการเลย” ออโรร่าบอก “แต่สิ่งที่ฉันอยากให้คนอื่นๆ รู้คือ มันไม่เป็นอะไรหรอกนะที่จะร้องไห้หรือนึกถึงอะไรเศร้าๆ สักพัก และมันก็ง่ายกว่าหากจะคิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ผ่านบทเพลงซึ่งก็อาจเขียนถึงความรู้สึกเหล่านี้ไว้ได้สวยงามด้วย เหมือนคุณกินยาไปพร้อมน้ำตาลหวานๆ น่ะค่ะ การมีความหวังนั้นสำคัญนะคะ”
ลักษณะการเขียนเพลงที่ทั้งอ่อนไหวและงดงามเช่นนี้ยังปรากฏอยู่ใน Exist for Love ที่ก็เล่าเรื่องความรักและความสัมพันธ์ว่า “ฉันไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าการถูกห้ามไม่ให้รักนั้นเป็นอย่างไร เพราะเมื่อคุณเดินเข้ามาในชีวิตฉัน ก็คล้ายว่าเมื่อนั้นชีวิตได้เริ่มต้นขึ้นจริงๆ” ซึ่งชวนให้นึกถึงความรักของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศที่ครั้งหนึ่งเคยถูกสังคมตีตราในแง่มุมอันเปราะบางและอ่อนไหว ทว่าก็อ่อนโยนเช่นเดียวกับบทเพลงอื่นๆ ของเธอ
“Exist for Love มาจากประสบการณ์ความรักที่ควรค่าแก่การเขียนบทเพลงถึงค่ะ” เธอบอก โดยเธอปล่อยเพลงนี้ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญวิกฤติโรคระบาดใหญ่ที่ทำหลายเมืองปิดตัวลง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นช่วงที่ศิลปินว่างงานมากที่สุดเนื่องจากออกทัวร์ไม่ได้ หากแต่ออโรร่าจงใจปล่อยบทเพลงของเธอในช่วงเวลาแห่งความเงียบงันเช่นนี้ “ฉันอยากให้ผู้คนได้มีช่วงเวลาดีๆ ในชีวิต มีสิ่งให้มุ่งหา มีสิ่งที่เชื่อมร้อยเราไว้ด้วยกัน มีสิ่งที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเรา ทำให้เราร้องไห้ ทำให้เราหัวเราะแม้เพียงสักเล็กน้อย และฉันว่า เวลานี้แหละค่ะที่ดนตรีเป็นที่ต้องการยิ่งกว่าช่วงเวลาไหนๆ โดยเฉพาะดนตรีที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง ฉันพยายามจะใส่ห้วงอารมณ์เข้าไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่เวลาฟังแล้วคุณจะได้สัมผัสถึงแสงสว่างในใจ พร้อมกันนี้ก็อาจร้องไห้ไปด้วยได้นิดหน่อย มันเป็นความรู้สึกที่น่ารักออกนะ”
“กับเพลง Exist for Love ฉันรู้สึกว่าความรักคือสิ่งสวยงามที่เราแบ่งปันให้กันและกันได้ ซึ่งฉันตระหนักดีว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่ฉันควรจะทำเพลงที่พูดเรื่องความรักสักที เพราะเวลานี้ ดูเหมือนโลกต้องการความรักยิ่งกว่าเวลาไหนๆ หรือไม่เช่นนั้น ก็อยากให้บทเพลงนี้ช่วยเตือนว่าความรักช่วยให้เรามาอยู่ด้วยกันมากแค่ไหนก็ยังดีค่ะ”
ธีมของการ ‘เคารพ’ ยังปรากฏให้เห็นในบทเพลงของออโรร่าอีกหลายเพลง ซึ่งเธออธิบายไว้ว่า “มุมมองทางการเมืองของฉันคือเชื่อว่า ทุกสิ่งล้วนสมควรแก่ความเคารพและยอมรับในแบบที่มันเป็น ฉันว่าบางคราวคนเราก็มักเป็นฝ่ายตั้งรับในหลายๆ เรื่อง คือการเป็นมนุษย์มันเหนื่อยเหมือนกัน และนี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากใส่ไว้ในบทเพลงตัวเองละ” เธอกล่าว