สำหรับชาวอเมริกันหลายๆ คน ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาคงไม่มีข่าวอะไรที่น่าหัวร้อนไปได้มากเท่าเอกสารจากศาลสูงสุดของสหรัฐฯ หลุดออกมาสู่สาธารณะ ใจความสำคัญคือยกเลิกร่างกฎหมายทำแท้งที่ให้สิทธิชาวอเมริกันยุติการตั้งครรภ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายก่อนอายุครรภ์ครบ 24 สัปดาห์ จนมีผู้คนไปรวมตัวประท้วงกันที่หน้าศาลสูงสหรัฐฯ, กรุงวอชิงตันดีซี รวมทั้งเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ด้วยการแสดงความเห็นต่อประเด็น "Men Shouldn't Be Making Laws about Women's Bodies" หรือผู้ชายไม่ควรเป็นคนออกกฎเกี่ยวกับเรือนร่างของผู้หญิงสิ (ทั้งนี้เพราะยกเลิกร่างกฎหมายดังกล่าวนั้นจัดทำขึ้นโดย ซามูเอล เอลิโต ผู้พิพากษาชายในศาลสูง)
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประเด็นการทำแท้งเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของอเมริกา แรงกระเพื่อมครั้งล่าสุดคือเมื่อรัฐเทกซัสประกาศใช้กฎหมายห้ามยุติการทำแท้งเมื่อมีอายุครรภ์ 6 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นระยะเวลาที่เร็วเกิน หลายคนยังไม่ทันรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ และเมื่อรู้ตัวนั้นก็ช้าเกินไปที่จะทำแท้งโดยถูกกฎหมายแล้ว ยังผลให้ต้องหาทางหลบเลี่ยง ยุติการตั้งครรภ์แบบผิดกฎหมาย แลกด้วยความเสี่ยงด้านสุขภาพอย่างรุนแรง ยังไม่นับว่าท่าทีเช่นนี้ยิ่งทำให้ผู้ที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์นั้นรู้สึกผิด หรือโดดเดี่ยวจากสังคมที่มองว่าการกระทำเช่นนั้นผิดกฎหมาย
คนดังหลายคนออกมาให้ความเห็นต่อต้านร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว อีกหลายคนออกมาเล่าประสบการณ์การทำแท้งของตัวเอง เพื่อไม่ให้คนที่ต้องเคยผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกันนั้นรู้สึกโดดเดี่ยวเกินกว่าที่เป็นอยู่ และหนึ่งในนั้นคือ อูมา เธอร์แมน
เดือนกันยายนปี 2021 ที่ผ่านมา เธอร์แมน -ซึ่งตอนนี้เป็นคุณแม่ลูกสาม- เขียนบทความยาวสิบย่อหน้าเต็มลงนิตยสาร The Washington Post ในชื่อเรื่อง 'กฎหมายทำแท้งของเทกซัสคือวิกฤติทางสิทธิมนุษยชนต่อผู้หญิงอเมริกัน' เนื้อหาส่วนหนึ่งเล่าถึงชีวิตของเธอที่เริ่มทำงานเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุ 15 ปี ยังผลให้เธอมักเป็น 'เด็ก' เพียงคนเดียวในห้องหรือในแวดล้อมการทำงาน "และช่วงปลายของการเป็นวัยรุ่น ฉันก็ตั้งท้องโดยไม่ได้เจตนาจากชายที่อายุเยอะกว่ามาก ตอนนั้นเป็นช่วงที่ฉันออกเดินทางอยู่ในยุโรป ห่างไกลจากครอบครัว และเพิ่งเริ่มตั้งตัวทำงานจริงจัง ฉันคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าต้องทำอย่างไรต่อ ก็อยากเก็บเด็กไว้นะ แต่จะทำอย่างไรล่ะ"
เธอร์แมนเล่าว่าเธอตัดสินใจโทรศัพท์ปรึกษาพ่อแม่ที่อเมริกา (ซึ่งเธอขยายความว่า นี่เป็นการเปิดอกคุยเรื่องเซ็กซ์ด้วยกันเป็นครั้งแรกในบ้าน) และแม้จะอยากเก็บเด็กในครรภ์ไว้แค่ไหน แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ารายได้เธอน้อยจนเกินกว่าจะเลี้ยงดูตัวเองได้ -อย่าว่าแต่เด็กอีกคนหนึ่ง- ก็พุ่งเข้าชนเข้าอย่างจังจนไม่อาจปฏิเสธ ทั้งหน้าที่การงานก็ยังห่างไกลจากคำว่าลงตัว พ่อกับแม่ของเธอร์แมนจึงลงความเห็นว่าเธอควรยุติการตั้งครรภ์เสียตั้งแต่ยังทำได้ นั่นจึงเป็นจุดตั้งต้นที่ทำให้เธอเข้าใจความยากลำบากของการผ่านเหตุการณ์เหล่านี้
แน่นอนว่าภาวะดังกล่าวยังรวมถึงความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงต่อตัวเอง อันเป็นผลพวงมาจากการตีตราโดยกฎหมายและสังคมต่อคนที่ตัดสินใจทำแท้ง และเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้เธอเขียนบทความนี้ขึ้น -เพื่อยืนเคียงข้างคนที่เคยประสบเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับเธอ ไม่ให้ต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพัง
"ฉันได้รับยาชาและเข้าสู่กระบวนการยุติการตั้งครรภ์ ต้องนอนลงบนโต๊ะขณะที่คุณหมอ -ซึ่งเป็นชายใจดีมาก- อธิบายทุกขั้นตอนที่เกิดขึ้น มันเจ็บมหาศาล แต่ฉันไม่ปริปากเลย เพราะความละอายใจต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังทำนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันสมควรได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้แล้ว"
"ฉันไขว้มืออยู่บนหน้าอก เมื่อกระบวนการทุกอย่างสิ้นสุดลง หมอมองมาที่มือฉันแล้วพูดว่า 'มือคุณสวยนะ เห็นแล้วผมนึกถึงลูกสาวตัวเองเลย' ท่าทีที่เปี่ยมความเป็นมนุษย์นั้นยังคงดำรงอยู่ในใจฉันจนทุกวันนี้ ในฐานะเป็นหนึ่งในห้วงยามที่ฉันได้รับความเห็นอกเห็นใจมากมายอย่างที่สุด ในสายตาเขา ฉันคือมนุษย์ คือลูกสาว และยังเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่ง"
"การทำแท้งเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่นนับเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต ยังผลให้ฉันปวดร้าวใจในเวลานั้นและโศกเศร้าในเวลานี้ แต่ก็เป็นเส้นทางที่ทำให้ชีวิตฉันได้ประสบกับความสุขและความรักในเวลาต่อมา การเลือกยุติการตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์ยังน้อยนั้นทำให้ฉันเติบโต และได้กลายเป็นแม่คนอย่างที่อยากเป็นและต้องการจะเป็นเสมอมา"
อย่างไรก็ตาม เธอร์แมนตระหนักดีว่าเมื่อเรื่องราวเหล่านี้ที่เธอเก็บไว้กับตัวมาหลายสิบปีนั้นเผยแพร่ออกไป เธออาจถูกต่อต้านหรืออาจถูกสังคมมองในแง่ลบ แต่ทั้งอย่างนั้นก็เป็นสิ่งที่เธอพร้อมรับมือ เพราะถึงที่สุด ความรู้สึกโดดเดี่ยวและอายต่อใจที่เธอเคยประสบมาสมัยยังวัยรุ่นจากการถูกสังคมขีดกรอบว่า คนเราไม่ควรทำแท้งนั้น ก็เป็นหนึ่งในความรู้สึกที่เธอคิดว่าไม่ควรต้องมีใครประสบพบเจออีก และหากว่าการออกมาเปิดเผยเรื่องราวของตัวเอง ยื่นมือออกไปปลอบประโลมคนที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์เดียวกัน จะช่วยให้ใครสักคนไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ตัวคนเดียวบนโลกมากจนเกินไปนัก เธอร์แมนก็ระบุไว้ในบทความว่านั่นคือสิ่งที่เธอคิดว่าแสนจะคุ้มค่าแล้ว
"แด่พวกเธอทุกคน แด่ผู้หญิงและเด็กสาวในเทกซัส ที่หวาดกลัวว่าจะได้รับบาดแผลทางใจและถูกไล่ล่าประณาม, แด่ผู้หญิงผู้เคืองแค้นจากการที่สิทธิในเนื้อตัวร่างกายของเราถูกรัฐยึดครองทุกคน และแด่พวกเธอทั้งหลายที่ถูกทำให้รู้สึกว่าต้องละอายแก่ใจเพียงเพราะคุณมีมดลูก ฉันเพียงจะบอกว่า ฉันมองเห็นคุณนะ แข็งแกร่งไว้ พวกคุณงดงาม และพวกคุณทำให้ฉันนึกถึงลูกสาวตัวเองด้วย"
การเรียกร้อง ต่อสู้ดิ้นรนเหนือสิทธิอันพึงมีในร่างกายตัวเองนั้นอาจยังดำรงอยู่ต่อไปในอีกหลายประเทศ เงื่อนไขการปลดแอกภายใต้กฎหมายก็อาจยังเป็นเรื่องที่กินเวลาไปอีกระยะใหญ่ หากแต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนพอจะช่วยดูแล เยียวยากันและกันได้ อาจเป็นการออกมาเคียงข้างคนที่ถูกกฎหมาย ถูกจารีต ถูกธรรมเนียมตีตรานานัปการ -แค่เพราะพวกเขาออกมาเปล่งเสียงและควบคุมสิทธิเหนือร่างกายตัวเอง- ไม่ให้คนเหล่านั้นต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างเช่นที่เธอร์แมนทำ และอย่างที่เธอร์แมนเคยได้รับจากคุณหมอเมื่อหลายสิบปีก่อน ก็นับเป็นหนึ่งในห้วงเวลาที่แสนจะเป็นมนุษย์และมีความหวังแล้ว อย่างน้อยก็ในเวลาเช่นนี้