สำหรับเราที่ลองหยิบ Buffy The Vampire Slayer มาดูอีกครั้งด้วยเลนส์ของยุคสมัยปัจจุบันก็พบว่ามันเป็นซีรีส์ที่ ‘Woke’ มาก่อนกาล ในความพยายามส่งเมสเสจพลังหญิงด้วยการสร้างเฟมินิสต์ไอคอนสักคนเพื่อต่อสู้กับแนวคิด ‘Misogynist’ ในแง่มุมต่างๆ

27 ปี ‘Buffy The Vampire Slayer’ มือปราบแวมไพร์ผู้ต่อสู้กับแนวคิด Misogynist ผ่านมุมอ่อนแอในตัวเอง และยืนยันเรื่องพลังหญิงผ่าน ‘ทางเลือก’ ที่มีต่อเรื่องเซ็กซ์

ใครที่โตมาช่วงปี 1990s-2000s น่าจะยังจำมือปราบแวมไพร์สาวจากซีรีส์ชุด Buffy The Vampire Slayer กันได้ ตั้งแต่เริ่มฉายซีซั่นแรกทางช่อง WB อเมริกาในปี 1997 ก่อนจะจบลงที่ซีซั่น 7 ในอีก 5 ปีต่อมา ถึงวันนี้ Buffy The Vampire Slayer จะมีอายุเกือบๆ 30 ปีแล้ว แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือซีรีส์เรื่องหนึ่งที่กลายมาเป็น Cultural Reference ให้กับหนังแฟนตาซีที่ว่าด้วยวัยรุ่นกับแวมไพร์ในยุคต่อๆ มาอีกมากมายหลายเรื่อง&nbsp;และสำหรับเราที่ลองหยิบ Buffy The Vampire Slayer มาดูอีกครั้งด้วยเลนส์ของยุคสมัยปัจจุบันก็พบว่ามันเป็นซีรีส์ที่ ‘Woke’ มาก่อนกาล ในความพยายามส่งเมสเสจพลังหญิงด้วยการสร้างเฟมินิสต์ไอคอนสักคนเพื่อต่อสู้กับแนวคิด ‘Misogynist’ ในแง่มุมต่างๆ จนไม่เกินจริงเลยหากจะบอกว่า Buffy The Vampire Slayer คืออีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของทีวีซีรีส์ที่ทำให้กระแสเฟมินิสต์เกิดการตื่นรู้ในวัฒนธรรมป๊อปจากยุค Y2K มาจนถึงวันนี้&nbsp;<img src="https://media.thairath.co.th/image/IJCMMxiW0gvocHxJupuRdpRHWJwppb0Mf7ecFnT5AWse9vA1.jpg" data-id="101500" data-url="https://media.thairath.co.th/image/IJCMMxiW0gvocHxJupuRdpRHWJwppb0Mf7ecFnT5AWse9vA1.jpg" style="width: auto;" class="fr-fic fr-dib">แวมไพร์ : Sex Symbol ตัวพ่อ กับด้านมืดที่หญิงสาวต้องต่อสู้ตั้งแต่ท่านเคานต์แดร็กคูลาในจินตนาการของนักเขียน Bram Stoker เรื่อยมาจนถึงนวนิยายแวมไพร์กลิ่นอายอีโรติกของ Anne Rice ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่แวมไพร์กลายมาเป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายในเชิง Sexual แทบจะทั้งหมด เช่นเดียวกับที่ Buffy The Vampire Slayer ก็อุปมาตัวละครแวมไพร์อายุร้อยกว่าปีเป็นภาพแทนของชาย (ในร่าง) หนุ่มที่มาพร้อมการเป็น Sex Symbol น่าหลงใหลคล้ายๆ กัน ขณะที่ ‘ผู้หญิง’ ในโลกของแวมไพร์หลายๆ เรื่องก็มักจะถูกสร้างให้เป็น ‘เหยื่อ’ ในแง่ใดแง่หนึ่งเสมอ และมักจะถูกกล่าวถึงหรือจินตนาการไปในทางเพศเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมการล่าและกัดคอของแวมไพร์เพื่อสูบเอาเลือดเนื้อออกจากร่างกายของเหยื่อ หรือที่ศัพท์เทคนิคเรียกว่า ‘การให้กำเนิด’ ซึ่งอาจเปรียบได้กับการขโมยความเดียงสาบริสุทธิ์ของเด็กสาว แล้วให้กำเนิดผู้หญิงที่มีความดิบเถื่อนอีกคนหนึ่งขึ้นมาแทนที่แวมไพร์จึงอุปมาได้ไม่ต่างจาก Wildest Dream ของหญิงสาว หรือความปรารถนาด้านมืดลึกๆ ที่หลบซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ที่แม้บางครั้งรู้ว่าอันตราย แต่ก็ยากจะต้านทานพลังความเย้ายวนของมัน และความกระหายเลือดของเหล่าแวมไพร์ก็อาจเหมือนกับด้านมืดในสังคมที่พร้อมจะล่อลวงเราอยู่เป็นนิจ ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาประโยชน์ การถูกเอาเปรียบ หรือสารพัดความรุนแรงทางเพศที่ผู้หญิงและเด็กสาวสามารถพบเจอในชีวิตจริงนั่นเองแม้ว่าตัวละครมือปราบแวมไพร์อย่าง Buffy Summers นางเอกของเรื่อง-จะถูกสร้างให้ตื่นขึ้นมาในวันหนึ่งแล้วมีพลังพิเศษตามแบบฉบับซุปเปอร์ฮีโร่ก็จริง ทว่าหนังกลับนำเสนอฮีโร่ในรูปแบบที่ต่างออกไป ไม่ใช่ในบริบทของฮีโร่สาวผู้เก่งกาจเสียทีเดียว หากแต่เป็นฮีโร่ที่มีความอ่อนแอและด้านมืดอยู่ในตัวเองเช่นเดียวกับมนุษย์สามัญธรรมดา ซ้ำบ่อยครั้งก็ยังตกอยู่ในฐานะ ‘เหยื่อ’ ไม่ต่างจากเด็กสาวคนอื่นๆ ที่ถูกความชั่วร้ายล่อลวงไปสู่ด้านมืดเช่นเดียวกัน เพราะเหตุนี้เองฮีโร่สาวใน Buffy The Vampire Slayer จึงมีความ Realistic ของการเป็นมนุษย์จริงๆ ที่สามารถสร้างความรู้สึกเชื่อมโยงกับคนดูอย่างเราได้อย่างน่ามหัศจรรย์Power Play และ Co-dependency อำนาจซ้อนทับของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนพอแวมไพร์ถูกอุปมาเป็นสัญลักษณ์ของเพศชาย พร้อมกับที่เพศหญิงถูกทำให้กลายเป็นเหยื่อ ความไม่เท่าเทียมกันของอำนาจระหว่างความเป็นชายกับความเป็นหญิง ความแข็งแกร่งกับความอ่อนแอ ความเป็นผู้คุมเกมกับผู้ถูกควบคุม จึงกลายมาเป็นประเด็นหลักที่ถูกพูดถึงอย่างเข้มข้นใน Buffy the Vampire Slayer ไม่ว่าจะโดยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจของผู้สร้างซีรีส์Trisha Pender ผู้เขียนบทความเรื่อง I'm Buffy, You're History: Buffy the Vampire Slayer and Contemporary Feminism ให้ความเห็นผ่านเว็บไซต์ Vice ว่า ‘Power Play’ ใน Buffy the Vampire Slayer เป็นเหตุผลที่ทำให้ฮีโร่สาวอย่าง Buffy รวมถึงตัวละครหญิงคนอื่นๆ หนีไม่พ้นจากอิทธิพลของอคติและความเกลียดชังผู้หญิง จนพวกเธอถูกกดทับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถูกประเมินค่าต่ำเกินไปอยู่แทบตลอดเวลาจากบรรดาแวมไพร์วายร้าย แถมบ่อยครั้งยังเป็นพวกเธอเองด้วยที่ยินยอมให้อำนาจมืดเหล่านั้นควบคุมอยู่เรื่อยไป สิ่งนี้เองที่ผู้สร้างซีรีส์อาจพยายามบอกเราว่า พลังอำนาจด้านมืดที่เราต้องพบเจอในชีวิตจริงและในสังคมล้วนมีความสัมพันธ์กับเราแบบ ‘Co-dependency’ ที่แม้บางครั้งจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน รู้ด้วยว่ามัน Toxic แค่ไหน และจะกัดกินเราไปมากมายอย่างไร แต่หลายคนก็ยังต้องพึ่งพา เพราะยากที่จะถอนตัวจากมันอยู่ดี&nbsp;Girls Power พลังหญิงที่สะท้อนผ่านวิถีเซ็กซ์ของตัวละครไม่ใช่แค่ Buffy The Vampire Slayer นั้นล้ำมากถ้าเทียบกับซีรีส์หรือหนังที่ว่าวัยรุ่นในยุคเดียวกันที่กล้าใส่ตัวละครที่มีความหลากหลายทางเพศลงไปได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติโดยคนดูไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดแล้ว สิ่งที่ชัดเจนที่สุดที่ทำให้มันแตกต่างจากหนังวัยรุ่นเรื่องอื่นๆ ก็คือการส่งเมสเสจให้เด็กสาวกล้าลุกขึ้นมายืนหยัดด้วยตัวเอง สะท้อนผ่านเรื่องเซ็กซ์กับความต้องการทางเพศอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาในแบบที่ไม่ใช่ Male Gaze หรือมุมมองจากผู้ชาย ทว่าเป็นการเล่าผ่านมุมมองของตัวละครหญิงที่ล้วนแล้วแต่มีเพศวิถีและมีความต้องการแสดงออกในแบบของตัวเอง อีกทั้งยังนำเสนอ ‘ทางเลือก’ ของผู้หญิงที่มีต่อเรื่องเซ็กซ์ในหลากหลายแง่มุม เช่น ความกล้าหาญที่จะตอบรับ หรือปฏิเสธ หากสิ่งนั้นขัดแย้งกับความเชื่อของตัวเอง อย่าง Rape Scene ในตำนานที่ Buffy นางเอกของเรื่องพยายามขัดขืนการถูกคุกคาม ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในซีนที่มีภาพความรุนแรงที่สุดซีนหนึ่งสำหรับทีวีซีรีส์ หรือแม้แต่ในบริบทของการเป็นหนังวัยรุ่นในยุคนั้นไม่น้อย แต่หากมองในอีกแง่ ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือการ Woke คนดูไปอีกขั้นให้ตระหนักถึงความรุนแรงทางเพศ พร้อมกับสร้างการตื่นรู้เรื่อง Consent ได้ดีทีเดียวในวันที่มันยังไม่ได้ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายเหมือนเช่นทุกวันนี้นั่นทำให้เรากล้าพูดได้เต็มปากว่า Buffy The Vampire Slayer เป็นซีรีส์วัยรุ่นที่ยังคงร่วมสมัยด้วยเมสเสจที่ว่า ปรปักษ์แท้จริงตลอดกาลของผู้หญิงไม่ใช่ใคร นอกจากอคติและความเกลียดชังที่ยังมีอยู่บนโลกใบนี้นี่เองสามารถรับชมซีรีส์ Buffy The Vampire Slayer ได้ทาง Disney+ อ้างอิง<a href="https://www.vice.com/en/article/3dykxw/sucking-and-fucking-the-legacy-of-buffy-vampires-20-years-on" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.vice.com/en/article/3dykxw/sucking-and-fucking-the-legacy-of-buffy-vampires-20-years-on</a>&nbsp;<a href="https://www.bloomsbury.com/uk/im-buffy-and-youre-history-9781786730107/" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.bloomsbury.com/uk/im-buffy-and-youre-history-9781786730107/</a>&nbsp;

การปรากฏตัวในหน้าสื่อของ ซิดนีย์ สวีนีย์ (Sydney Sweeney) มักมาพร้อมกับพาดหัว 'เซ็กซี่' อยู่เกือบตลอดเวลา ทำให้เธอถูกมองเป็นนักแสดงสาวเซ็กซี่ที่รับแต่บทที่ต้องเปลื้องเนื้อเปลื้องหนัง ทั้งที่จริงเธอยังมีอีกหลายๆ มิติที่น่าจดจำ

Sydney Sweeney นักแสดงสาวมากความสามารถที่กลับถูกจดจำที่เรือนร่างสุดเซ็กซี่

เมื่อฉากเซ็กซ์และอีโรติกกลายมาเป็นจุดขาย เป็นพาร์ตหนึ่งของเอนเตอร์เทนเมนต์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าในโฆษณา รายการทีวีกระแสหลัก หนัง ซีรีส์ เอ็มวี ฯลฯ มันมาพร้อมกับการสร้างจินตนาการ ใส่ความหวือหวาแฟนตาซี และ Artistic ต่างๆ ในแง่ของงานศิลปะเข้าไปมากมาย หากแต่แฟนตาซีเหล่านี้เองก็อาจสร้างความรับรู้ที่น่ากังวลสำหรับคนดูบางกลุ่มได้เช่นกัน

ปัญหาของ Sex Scenes ในสื่อบันเทิง
ที่บางครั้งก็เน้นแค่ความหวือหวา-รุนแรง 
หรือบางทีก็หนี Male Gaze ไม่พ้น และส่งผลต่อทั้งคนดูหรือกระทั่งนักแสดง

สำหรับกรณีของนักแสดงสาวชื่อดังอย่าง ฮันโซฮี และ ฮเยริ เรื่องส่วนตัวได้กลายเป็นประเด็นระดับประเทศทันที เมื่อตัวละครทั้งหมดในเรื่องล้วนแต่เป็นคนดังเบอร์ต้นของวงการ 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Films

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

NUT LELAPUTRA

RELATED

HOT TOPICS