นึกว่าจะหมดยุคที่ผู้หญิงเกิดมารอรับฉายาแม่บ้านแม่เรือนแล้ว ตรงกันข้าม ยังมีมนุษย์ที่สมาทานแนวคิดนี้อยู่

“ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง” มายาคติสุดล้าหลัง ที่คาดหวังให้ผู้หญิงต้องเก่งงานบ้าน และชายไทย 53.5% ยังคิดแบบนี้อยู่

นึกว่าจะหมดยุคที่ผู้หญิงเกิดมารอรับฉายาแม่บ้านแม่เรือน ช้างเท้าหลัง เสน่ห์ปลายจวักเป็นเลิศ กุลสตรี อะไรเทือกๆ นั้นแล้ว ตรงกันข้าม ยังมีมนุษย์ที่สมาทานแนวคิดนี้อยู่ในบ้านเรา เมืองเรา อีกไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะขนาดนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังสวนทางแนวคิดที่ผู้หญิงต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมในวันสตรีสากลด้วยสปีช “ผมในฐานะที่เป็นผู้ชาย รัฐมนตรีก็เป็นผู้ชาย นอกบ้านผู้ชายจะเก่ง แต่ในบ้านเสร็จผู้หญิงหมด เขาบอกว่าผู้ชายเปรียบเสมือนช้างเท้าหน้า ผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง”&nbsp;อยู่เลย และแม้จะมีหลายคนที่เริ่มปลดแอกตัวเองได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถหลุดจากกรอบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะสภาพแวดล้อมที่ตนอยู่ หรือแนวคิดฝังหัวเก่าๆ ก็ยังหลุดออกไปไม่หมด จริงๆ ประเทศไทยเคยมีสถิติเรื่องการทำงานบ้านที่น่าสนใจอยู่ชิ้นหนึ่ง ซึ่งตอบได้ดีว่า เออ คนยังไม่ได้หลุดจากบรรทัดฐานเดิมจริงๆ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นต่อการทำงานบ้านของกลุ่มผู้ชายวัย 18-50 ปี ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,995 คน ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2562 พบว่า 53.5% มองว่าผู้หญิงที่ดีต้องเป็นแม่ศรีเรือน ทำงานบ้าน 47% มองว่าผู้ชายมีหน้าที่หาเงินเลี้ยงครอบครัว และ 1 ใน 3 หรือ 37.5% มองว่าถึงผู้หญิงจะทำงานนอกบ้าน แต่งานบ้านก็ยังเป็นเรื่องของผู้หญิงอยู่ดี รวมถึง 33.2% ระบุว่า งานบ้านไม่ใช่หน้าที่ของผู้ชาย แต่เป็นหน้าที่ของผู้หญิง ตัวเลขเหล่านี้ชัดแจ้งว่ามีคนถูกหล่อหลอม และยึดติดกับการที่ผู้หญิงต้อง ‘ดูแล’ คนทั้งบ้าน ส่วนผู้ชายก็ต้องดูแล แต่ดูแลแบบให้เงินอย่างเดียวก็เพียงพอ ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าโลกตอนนี้ผู้หญิงมีศักยภาพทำงานหาเงินได้ไม่ต่างจากผู้ชาย (แต่ก็อย่างไรก็ตาม ก็มีผู้ชายในกลุ่มสำรวจกว่า 54.9% ที่มองว่าการช่วยงานบ้านผู้หญิงไม่ใช่เรื่องน่าอายอยู่ด้วย) งานบ้านควรเป็นตัวเลือกตามความสมัครใจ ใครใคร่ทำก็ทำได้ แต่ถ้าใครไม่ชอบก็ไม่เห็นต้องทำ แฟร์ๆ ง่ายๆ เหมือนเลือกกินระหว่างน้ำส้มกับน้ำเปล่า หรือใครอยู่กับคนรัก ถ้าตกลงกันได้ว่าช่วยกันทำเท่าๆ กันก็คงไม่มีปัญหาอะไร ไม่ใช่ถูกบังคับให้ทำคนเดียวเพราะความคาดหวังของครอบครัว แฟนหนุ่ม หรือสามี ว่าเป็นแม่ต้องดูแลงานบ้าน เป็นเมียต้องทำกับข้าว เป็นลูกสาวต้องตื่นมาพับผ้าห่มทุกเช้า ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ว่าเป็นเพศไหนก็สามารถทำได้ “งานบ้านไม่ใช่เรื่องเสียฟอร์ม เรื่องเสียศักดิ์ศรี ไม่ใช่เรื่องกลัวเมีย หรืออะไร สามารถที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนกันได้ งานบ้านเป็นอันหนึ่งที่จะทำให้สัมพันธภาพระหว่างชายและหญิงเกิดขึ้นในครอบครัวได้ ดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่จริงๆ เป็นปัญหาใหญ่” จะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าว พูดถึงไทยไปแล้ว ประเทศอื่นๆ ในเอเชีย ก็ดูเหมือนจะเจอค่านิยมพิลึกแบบนี้อยู่เหมือนกัน ยิ่งในช่วงโควิด-19 ความรับผิดชอบเรื่องงานบ้านตกไปอยู่ในมือของผู้หญิงเพิ่มขึ้น ราวินเดอร์ เคาร์ (Ravinder Kaur) และ โซนัลเด เดไซ (Sonalde Desai) จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย และมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา ร่วมกันทำแบบสอบถาม ผู้ชาย 339 คน และผู้หญิง 287 คนจากประเทศในเอเชียใต้ ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ พบว่าเมื่อมีการ Work From Home เท่ากับปริมาณงานบ้านโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากสมาชิกทุกคนอยู่ที่บ้านตลอด ซึ่งหมายความว่าต้องทำอาหารเพิ่มขึ้น มีการล้างจาน และทำความสะอาดบ่อยขึ้น เป็นไปตามคาด เปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงที่ทำอาหารเพิ่มขึ้นจาก 47% เป็น 77% เมื่อเทียบระหว่างก่อนล็อกดาวน์ และล็อกดาวน์ ขณะเดียวกันผู้ชายทำงานบ้านเพิ่มขึ้นเพียง 12% เท่านั้น บริจิด ชูลต์ (Brigid Schulte) ผู้อำนวยการ Better Life Lab ที่ทำวิจัย และผลักดันเรื่องชีวิตการทำงาน ความเท่าเทียมทางเพศ และนโยบายทางสังคม ซึ่งอยู่ภายใต้องค์กร New America มองเห็นว่า การระบาดใหญ่ทำให้เกิด ‘ความไม่เท่าเทียม’ ที่มีอยู่ในหลายครอบครัว โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องแบกรับภาระในการดูแลทั้งลูก ทั้งบ้าน ทั้งผัว โดยเธอมองว่ามายาคตินี้ที่ดูจะล้าสมัย มันยังดำเนินต่อไปได้ เพราะคนยังมอง และแบ่งแยกเพศด้วยแนวคิดระหว่าง “คนหาเลี้ยงครอบครัว กับคนทำงานบ้าน” “พวกเราได้รับความเชื่อที่ฝังลึกว่าอะไรบ้างที่คนในครอบครัวควรจะต้องมี เรายังคิดว่าคนคนหนึ่งควรออกไปทำงาน และรับผิดชอบงานทั้งหมด หาเงิน และซัพพอร์ตครอบครัว แล้วก็ควรจะมีใครสักคนที่พร้อมจะดูแลบ้าน และงานบ้านเสมอ” “คุณจึงจำเป็นต้องสร้างพื้นที่ เพื่อสนทนาว่าใครจะทำอะไร แล้วอะไรที่ ‘ยุติธรรม’ จริงๆ และหาวิธีที่จะช่วยกัน" นอกจากนี้ เมื่อเกิดวงสนทนาแชร์ปัญหาเพื่อหาตรงกลางที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับคนมีลูกก็ไม่ควรปลูกฝังแนวคิดเรื่องผู้หญิงต้องเก่งงานบ้าน ผู้ชายทำงานบ้านเป็นเรื่องไม่ดี เพราะการส่งต่อค่านิยมจากปากพ่อแม่ มีผลให้ลูกจำตั้งแต่ยังเด็ก และเติบโตมามีแนวคิดท็อกซิกเรื่องเพศได้ ยกตัวอย่าง ประเทศไอร์แลนด์ในปี 2564 ที่พบว่าเด็กผู้หญิงทำงานบ้านมากกว่าเด็กผู้ชาย ตั้งแต่อายุ 9 ปี และมีแนวโน้มมากขึ้นตอนอายุ 13 ปี เพราะถูกปลูกฝังเรื่องการทำงานบ้าน ‘ตามเพศ’ การศึกษาที่ว่า มาจาก Growing Up in Ireland (GUI) ที่นำโดยนักวิจัย คาโอม โอไรลี่ย์ (Caoimhe O'Reilly) จากภาควิชาจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยลิเมอริก ซึ่งสำรวจเด็กหญิง 4,135 คน เด็กชาย 3,831 คน และผู้ปกครองของเด็กๆ พบว่าในวัย 9 ปี เด็กที่ทำอาหารคือเด็กผู้หญิงเกือบสองเท่า เช่นเดียวกับหน้าที่ทิ้งถังขยะก็เป็นเด็กผู้หญิงมากกว่าครึ่ง และในวัย 13 ปี เด็กที่ทำอาหารเป็นเด็กผู้หญิงเกือบเจ็ดเท่า และยังคงรับหน้าที่ทิ้งถังขยะเหมือนเดิม ประเด็นน่าสนใจที่พบเพิ่มเติม คือเด็กหญิงชาวไอริชจะใช้เวลาทำงานที่สังคมมองว่านี่มันแสนจะเฟมินีน เช่น ทำอาหาร ดูดฝุ่น ล้างจาน และต้องเป็นคนช่วยพี่น้อง หรือญาติทำงานบ้าน ขณะที่ผู้ชายก็มักใช้เวลาไปกับงานที่สังคมคิดเอาเองว่าเป็นงานแมนๆ อย่างลงมือจัดสวน หรือทำความสะอาดรถ อ่านมาถึงตรงนี้ จะเห็นได้ว่า ความไม่เท่าเทียมทางเพศจริงๆ ก็เริ่มต้นตั้งแต่ในบ้านนั่นแหละ ถ้าแม้แต่งานบ้านคนยังมองว่าเป็นงานของผู้หญิงอยู่ ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากว่าทุกเพศเท่าเทียมกัน เพราะถ้าจะเท่าเทียมจริงๆ ทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะพ่อ แม่ แฟน ผัว เมีย ลูกสาว ลูกชาย ต้องมีสิทธิ์นั่งล้อมวงแล้วคุยกันว่าใครอยากทำส่วนไหน ช่วยกันทำดีไหม หรือถ้าไม่อยากทำทั้งคู่ จ้างคนมาทำความสะอาดก็ไม่เห็นเป็นอะไร อ้างอิง: <a href="https://www.irishexaminer.com/news/arid-40322318.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.irishexaminer.com/news/arid-40322318.html</a> <a href="https://www.kcl.ac.uk/the-elusive-transformation" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.kcl.ac.uk/the-elusive-transformation</a> <a href="https://www.matichon.co.th/lifestyle/news_1887802" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.matichon.co.th/lifestyle/news_1887802</a> <a href="https://mgronline.com/politics/detail/9650000023106" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://mgronline.com/politics/detail/9650000023106</a> <a href="https://www.npr.org/2020/05/21/860091230/pandemic-makes-evident-grotesque-gender-inequality-in-household-work" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.npr.org/2020/05/21/860091230/pandemic-makes-evident-grotesque-gender-inequality-in-household-work</a> <a href="https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/icd.2246" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1002/icd.2246</a> <a href="https://www.thaipost.net/main/detail/53902" rel="noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer noopener noreferrer" target="_blank">https://www.thaipost.net/main/detail/53902</a>&nbsp;

เอ็มมา สโตน เพิ่งคว้าออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่สองจาก Poor Things (2023) และนี่คือผลงานที่เธอตั้งใจกับมันและขุดค้นลงไปในตัวละครอย่างลึกที่สุด

Emma Stone นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมคนล่าสุดกับบทที่สุดจะเฟมินิสต์ใน Poor Things (2023)

เมื่อฉากเซ็กซ์และอีโรติกกลายมาเป็นจุดขาย เป็นพาร์ตหนึ่งของเอนเตอร์เทนเมนต์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าในโฆษณา รายการทีวีกระแสหลัก หนัง ซีรีส์ เอ็มวี ฯลฯ มันมาพร้อมกับการสร้างจินตนาการ ใส่ความหวือหวาแฟนตาซี และ Artistic ต่างๆ ในแง่ของงานศิลปะเข้าไปมากมาย หากแต่แฟนตาซีเหล่านี้เองก็อาจสร้างความรับรู้ที่น่ากังวลสำหรับคนดูบางกลุ่มได้เช่นกัน

ปัญหาของ Sex Scenes ในสื่อบันเทิง
ที่บางครั้งก็เน้นแค่ความหวือหวา-รุนแรง 
หรือบางทีก็หนี Male Gaze ไม่พ้น และส่งผลต่อทั้งคนดูหรือกระทั่งนักแสดง

การปรากฏตัวในหน้าสื่อของ ซิดนีย์ สวีนีย์ (Sydney Sweeney) มักมาพร้อมกับพาดหัว 'เซ็กซี่' อยู่เกือบตลอดเวลา ทำให้เธอถูกมองเป็นนักแสดงสาวเซ็กซี่ที่รับแต่บทที่ต้องเปลื้องเนื้อเปลื้องหนัง ทั้งที่จริงเธอยังมีอีกหลายๆ มิติที่น่าจดจำ

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Social Issues

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS