แนวคิด Postgenderism หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในรูปของ Abolish Gender หรือการกำจัดเพศสภาพออกไปให้สิ้น

Abolish Gender แนวคิดที่ชวนให้ล้มล้างระบอบเพศสภาพ และบางครั้งกลับถูกใช้กดทับคนข้ามเพศ

หลายคนน่าจะเคยเห็นหรือเป็นส่วนหนึ่งของการถกกันเกี่ยวกับ representation เรื่องเพศ เพศสภาพ และความหลากหลายทางเพศในโลกของนิยายวาย และหนึ่งในคำตอบที่เรามักจะได้ยินบ่อยๆ เวลาถามถึงเพศของตัวละครในเรื่องคือ “เขาไม่ได้เป็นเกย์ แต่รักคนนี้คนเดียว” และอีกข้อถกเถียงที่ฟังดู ‘แปร่ง’ ที่สุดน่าจะเป็น “จริงๆ ไม่ต้องมี LGBTQ หรอก เพราะคนทุกคนเกิดมาเท่ากัน”แนวคิดเหล่านี้จากเหล่า “สาววาย” ไม่ได้ให้กำเนิดขึ้นมาจากอากาศ แต่มาจากแนวคิดซึ่งจริงๆ แล้วน่าพิจารณา เพียงแต่ถูกตัดทอนรายละเอียด และนำมันออกมานอกบริบทของมัน นั่นคือแนวคิด Postgenderism หรือที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในรูปของ Abolish Gender หรือการกำจัดเพศสภาพออกไปให้สิ้นโดยพื้นฐาน Abolish Gender คือแนวคิดที่มองว่าไม่ว่าเพศสภาพในโลกปัจจุบันจะหลากหลายขนาดไหน แม้จะหลุดออกจากกล่องที่มีสองเพศของชายและหญิง มันก็ยังไม่หลุดจากกล่องที่แท้จริงนั่นคือกล่องของความเป็นเพศสภาพที่นับเป็นการกดขี่ในตัวของมันเอง และทางเดียวที่จะไปสู่การปลดแอกได้ คือการล้มล้างเพศสภาพทั้งหมดทิ้ง เราไม่ต้องมี gender กันอีกต่อไป เพราะหากการกดขี่เกิดขึ้นจากบทบาททางเพศแล้วจะมีประโยชน์อะไรในการเก็บมันไว้? เป็นตรรกะที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา&nbsp;แต่อย่างที่เรายกตัวอย่างไปก่อนหน้า แนวคิดนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้อย่างผิดที่ผิดทางได้ก่อนจะไปกันต่อ บทความนี้ไม่ได้ต้องการจะลดทอนคุณค่าของวิธีคิดแบบนี้ เรามองว่าแนวคิดการเคลื่อนไหวเรื่องเพศจำนวนมากมีจุดร่วมกันกับ Abolish Gender เช่นการต่อต้านบทบาททางเพศที่วางผู้ชายไว้เหนือทุกอย่าง เพราะโครงสร้างบอกว่าบทบาททางเพศของผู้ชายคือการครอบงำและเป็นผู้นำ หรือการต่อต้านความเชื่อว่าผู้ใดก็ตามที่ออกนอกลู่นอกทางจากบทบาททางเพศของตัวเองควรถูกลงโทษไม่ว่าจากการกันออกโดยสังคมหรืออะไรที่รุนแรงไปกว่านั้นแต่ Abolish Gender หลายต่อหลายครั้งถูกนำไปเป็นแนวคิดที่กดทับกลุ่มคนข้ามเพศหรือคนหลากหลายทางเพศ อาจจะโดยไม่ตั้งใจหรือตั้งใจ แต่กลุ่มที่ใช้มันบ่อยที่สุด และทำให้เกิดข้อถกเถียงบ่อยที่สุดหนึ่งกลุ่มคือ Trans-Exclusionary Radical Feminists (TERFs) หรือกลุ่มเฟมินิสต์ที่เชื่อว่าผู้หญิงคือคนที่เกิดมามีอวัยวะเพศหญิงเท่านั้น รวมถึงหญิงข้ามเพศทุกคนสามารถเป็นภัยต่อผู้หญิง หากจะให้ยกตัวอย่างคนที่ถูกจดจำว่าเป็น TERFs ชื่อดังที่สุดในโลกคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก J.K. Rowling&nbsp;แต่ว่า TERFs และ Abolish Gender เกี่ยวข้องกันยังไง?&nbsp;สิ่งที่กลุ่มคนข้ามเพศจำนวนมากประสบในชีวิตคือ Gender Dysphoria หรืออาการทุกข์ใจในเพศสภาพ ซึ่งเกิดจากความไม่ตรงกันของเพศกำเนิด เพศสภาพ และอัตลักษณ์ทางเพศ หญิงข้ามเพศที่อยู่ระหว่างกระบวนการตัดสินใจและการเปลี่ยนผ่านมักมีความต้องการที่จะ “ใช้ชีวิตอย่างผู้หญิง” ซึ่งเป็นคำที่เหล่า TERFs มีปัญหาด้วยเอามากๆ เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาต่อต้านอย่างรุนแรงคืออะไรก็ตามเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศของผู้หญิง เพราะสิ่งเดียวที่กำหนดความเป็นหญิงคือเพศกำเนิดเท่านั้น นิยามอื่นๆ ที่ผ่านอัตลักษณ์ทางเพศถือว่าเหยียดเพศ และไอเดียที่คนที่ไม่ได้เกิดเป็นผู้หญิง ถูกเลี้ยงดูมาอย่างผู้หญิง และถูกสังคมทรีตเป็นผู้หญิง วันหนึ่งจะต้องการเป็นผู้หญิง โดยการทำศัลยกรรม แต่งกายด้วยกระโปรง เดรส แต่งหน้า ทำเล็บ แล้วพรีเซนต์ตัวเองเป็นผู้หญิงต่อสังคมและคนรอบตัวนั้นถือเป็นการดูถูกผู้หญิง (เพื่อความชัดเจน ไม่ ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับ TERFs) นี่เป็นหนึ่งในรูปแบบของการนำ Abolish Gender มาใช้โดยตัดทอนและลดรูปจนเหลือเพียงแนวคิดที่ได้ใจความที่สุด แล้วมันมาบิดใช้เป็นข้ออ้างในการกดขี่การเคลื่อนไหวกลุ่มอื่นโดยตั้งใจในหนังสือ Future Morality มีบทที่ชื่อ Abolishing Gender เขียนโดย ไบรอัน ดี เอิร์ป (Brian D. Earp) (อ่านเถอะ เขียนเรื่องนี้ไว้ดี รอบด้าน และเข้าใจง่ายมากๆ) &nbsp;กล่าวเกี่ยวกับการสนับสนุน การต่อต้าน และข้อควรระวังเกี่ยวกับการนำ Abolish Gender มาใช้ โดยในส่วนหัวข้อ สนับสนุนการล้มล้าง (หรือปฏิรูป) เพศสภาพ เขากล่าวว่าสังคมปัจจุบัน มีสิ่งที่เรียกว่าแนวคิดเกี่ยวกับเพศสภาพจากยุคเก่าที่มีอิทธิพลเหนือสิ่งอื่น หรือ Dominant Gender Ideology (DGI) ที่นำไปสู่การกดขี่โดยผู้ชายอยู่สี่ข้อใหญ่ๆ นั่นคือ&nbsp;DGI #1. ทุกคนในโลกสามารถแบ่งออกได้เพียงสองเพศ ชายและหญิง&nbsp;DGI #2. แต่ละคนในโลกมีเพียงเพศเดียวเท่านั้นจึงเรียกได้ว่าเหมาะสมและ “เป็นธรรมชาติ”DGI #3. เพศชายต้องทำตามบทบาททางเพศชาย และเพศหญิงต้องทำตามบทบาททางเพศหญิงDGI #4. ผู้ใดที่หลุดออกไปไกลจากบทที่วัฒนธรรมยอมรับมากเกินไปถือว่ามีความผิดปกติทางจิต หรือบกพร่องทางศีลธรรม และจำต้องถูกนำกลับเข้าสู่หนทางการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม&nbsp;โดยเอิร์ปกล่าวว่า Abolish Gender ต้องการลบล้างทั้งสี่ข้อนี้ เนื่องจากการทำตามทั้งสี่นั้นแปลว่าผู้ชาย ผู้ต้องมีลักษณะครอบงำ แข็งกร้าว เถรตรง และหิวอำนาจ จะครองผู้หญิง ผู้ที่เชื่อว่าต้องมีลักษณะโอนอ่อน ไม่ตอบโต้ ไม่อาจต้านอำนาจของผู้ชายได้อยู่เสมอไป ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดได้จากการ “เขียนบทใหม่” และแจกจ่ายบทเหล่านั้นให้ถึงมือทุกๆ เพศเท่าๆ กันส่วนในหัวข้อถัดมาเป็นข้อควรระวังที่การล้มล้างเพศสภาพอาจก่อให้เกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจ โดยในส่วนนี้ เอิร์ปกล่าวอ้างถึงข้อเขียนของนักปรัชญาแมธธิว เจ คูลล์ (Matthew J. Cull) เรื่อง Against Abolition ในเว็บไซต์ Feminist Philosophy Quarterly ว่า “เราควรระแวดระวังว่าจุดยืนการล้มล้างเพศสภาพนั้นเป็นภัยต่อการใช้ชีวิตคนข้ามเพศ” ด้วยเหตุผลว่า แม้ DGI ทั้ง 4 ข้อ โดยเฉพาะข้อ 4 นั้นเป็นภัยต่อคนข้ามเพศอย่างแน่นอน การใช้ชีวิตของคนข้ามเพศนั้นต่อสู้กับมันผ่านการกลับหัวกลับหาง DGI คนข้ามเพศที่เกิดมาในร่างผู้ชายหลายคนรู้สึกสบายใจ-หรือที่เราอาจเรียกได้ว่า เป็นตัวเอง หากได้ใช้ชีวิตด้วยบทบาททางเพศผู้หญิง ส่วนคนที่เกิดมาในร่างผู้หญิงอาจรู้สึกเป็นตัวเองหากได้ใช้ชีวิตด้วยบทบาททางเพศผู้ชาย ซึ่งแม้การลบล้าง DGI สามารถลบล้างบทบาททางเพศที่ “ถูกต้อง” หรือ “ผิดแผก” ออกได้ แต่อีกหนึ่งสิ่งที่ถูกลบล้างคือคอนเซปต์ของคนข้ามเพศอย่างที่พวกเขาเป็นนั่นเอง ซึ่ง “การใช้ชีวิตอย่างมีเพศ” เป็นหนึ่งในสิ่งที่เชื่อมเข้าโดยตรงกันกับการเป็นอยู่ที่ดีของคนข้ามเพศโดยตรง “ในสังคมที่ไม่มีผู้หญิง ก็ไร้ผู้หญิงข้ามเพศ…เช่นนั้นดูเหมือนว่าราคาที่ต้องจ่ายของการคงไว้เพื่อแนวคิดการล้มล้างเพศคือการหายไปของคนข้ามเพศ” คูลล์กล่าวตรงกันกับที่นาตาลี วินน์ (Natalie Wynn) หรือ ContraPoints อดีตนักปรัชญาและวิดีโอครีเอเตอร์หญิงข้ามเพศกล่าวในวิดีโอของเธอเรื่อง Gender Critical ว่า “การล้มล้างเพศอาจเป็นความคิดที่ดี จะดีกว่าไหมหากอวัยวะเพศที่ได้มาเมื่อกำเนิดไม่เป็นตัวชี้วัดว่าเราควรใช้ชีวิตกันยังไง แต่นั่นเป็นโปรเจกต์ยูโทเปียที่ต้องใช้การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่มหึมา ไม่ต่างจากมูฟเมนต์ล้มล้างเขตแดน…และการห้ามคนข้ามเพศมีอัตลักษณ์ทางเพศเพื่อล้มล้างเพศสภาพ ก็ไม่ต่างจากการไม่ให้สัญชาติผู้อพยพเพื่อล้มล้างเขตแดน นั่นคือคุณกำลังเล็งเป้าไปหากลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการโดนกดขี่ที่สุดโดยระบบปัจจุบัน และใช้ระบบนั้นกดขี่พวกเขาอีกที” เธอพูด วิจารณ์แนวคิดของ TERFs (หรือที่เธอเรียกในวิดีโอว่า Gender Criticals) เกี่ยวกับ Abolish Genderและนั่น เรากลับเข้าสู่ “ไม่ได้รักที่เขาเป็นเกย์ แต่รักที่เขาเป็นคนคนนี้” เมื่อแนวคิดการเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเพศในไม่กี่ปีที่ผ่านมาเติบโตและก้าวหน้าไปไม่น้อยและยิ่งเมื่อเจอโซเชียลมีเดียที่เคลื่อนที่เร็วไวอย่างทวิตเตอร์ แนวความคิดของผู้คนย่อม “ก้าวหน้า” ตามไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้น ก่อนจะหยิบแนวคิดอะไรที่เราเห็นผ่านๆ ย่อๆ หรือเห็นโดยสรุปสั้นๆ มาเผยแพร่และใช้เป็นข้อถกเถียง อย่าลืมเรียนรู้และศึกษามันให้เข้าใจถึงแก่นของมันก่อน ไม่เช่นนั้นมันสามารถทำร้ายมูฟเมนต์ที่เราคิดว่ากำลังสนับสนุนได้โดยไม่รู้ตัวเลยแหละ&nbsp;อ้างอิง :<a href="https://www.researchgate.net/publication/344243608_Abolishing_Gender" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.researchgate.net/publication/344243608_Abolishing_Gender</a><a href="https://ojs.lib.uwo.ca/index.php/fpq/article/view/5898/6708" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://ojs.lib.uwo.ca/index.php/fpq/article/view/5898/6708</a><a href="https://www.vox.com/identities/2019/9/5/20840101/terfs-radical-feminists-gender-critical" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.vox.com/identities/2019/9/5/20840101/terfs-radical-feminists-gender-critical</a><a href="https://www.youtube.com/watch?v=1pTPuoGjQsI&t=719s&ab_channel=ContraPoints" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.youtube.com/watch?v=1pTPuoGjQsI&amp;t=719s&amp;ab_channel=ContraPoints</a>

กำลังเป็นที่ฮือฮาในประเทศจีนอย่างมากเลยทีเดียว เมื่อภาพการออกแบบสถานีรถไฟหนานจิงเหนือ (North Nanjing) ในเมืองหนานจิง ประเทศจีน ในรูปแบบม็อกอัป ถูกเผยแพร่ออกมาให้ชมกัน ที่ทำเอาคนจีนพูดเป็นเสียงเดียวกันบน Weibo ว่า นี่มัน ‘ผ้าอนามัยยักษ์’ ชัดๆ!

สถานีรถไฟหนานจิงถูกวิจารณ์บนโซเชียลฯ ว่าดีไซน์เหมือนผ้าอนามัยยักษ์ และน่าอับอาย ขณะที่คนบางส่วนออกมาแสดงจุดยืนว่า น่าอายตรงไหน เมนส์คือเรื่องปกติ

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ ในช่วงต้นปี 2567 พบว่า สายตาที่ประชาชนหลายคนมองไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลับยังมีความ ‘ไม่ไว้ใจ’ ในการทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่มาก

ผลสำรวจปี 67 พบว่า คนไทยหวาดกลัวต่ออาชญากรรมค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันก็ไม่เชื่อมั่นใน ‘ตำรวจ’ ทั้งยังคาดหวังให้ตำรวจตรวจสอบได้ ทำงานเร็ว และไม่เลือกปฏิบัติ ฯลฯ

For the Love of Men: From Toxic to a More Mindful Masculinity (2019) คือหนังสือของ ลิซ แพลงค์ (Liz Plank) ที่ได้รับความชื่นชมอย่างหนาหู ว่าเป็นหนังสือที่อ่อนโยน เข้าอกเข้าใจและพูดถึงความเป็นชายอันแสนเป็นพิษโดยปราศจากท่าทีเหมารวม

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Thoughts

Abolish Gender แนวคิดที่ชวนให้ล้มล้างระบอบเพศสภาพ และบางครั้งกลับถูกใช้กดทับคนข้ามเพศ

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

TASSANA PUTTAPRASART

RELATED

HOT TOPICS