งานวิจัยที่สำรวจผู้เข้าร่วมงานวิจัยเกือบ 10,000 คน จาก 9 ประเทศ พบว่าเฟมินิสต์ไม่ได้เกลียดผู้ชาย และมีแนวโน้มที่จะมีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้ชาย มากกว่าจะเกลียดผู้ชายด้วยซ้ำ

งานวิจัยเผย “เฟมินิสต์ไม่ได้เกลียดผู้ชาย”
ความโกรธ และการเรียกร้องของเฟมินิสต์
ก็ไม่เกี่ยวกับการประเมินคุณค่าผู้ชายในแง่ลบ

ท่ามกลางการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ หลายคนยังเผลอคิดแบบเหมาๆ ว่า “<a href="https://mirrorthailand.com/tags/%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C" rel="noopener noreferrer" target="_blank">เฟมินิสต์</a>เกลียดผู้ชาย” ซึ่งนี่เป็นเหมือนบั๊กใหญ่ๆ ที่ทำให้การเรียกร้องความเท่าเทียมไม่ได้ถูกรับฟังเท่าที่ควรเพราะถูกอคติแบบนี้บดบังไป บางคนถึงกับเชื่อว่าการพูดเรื่องสิทธิสตรี หรือ women empowerment คือการเรียกร้องอภิสิทธิ์ให้ผู้หญิงอยู่เหนือผู้ชายเสียด้วยซ้ำ ซึ่งแม้หลายคนจะพยายามยืนยันและอธิบาย แต่ความเชื่อที่ว่าเฟมินิสต์เป็นปรปักษ์กับผู้ชาย (ทุกคนบนโลก) ก็ยังคงมีอยู่ ล่าสุดนี้ ได้มีคนทำงานวิจัยขึ้นเพื่อค้นหาคำตอบเกี่ยวกับประเด็นนี้ และสรุปได้ว่ามันคือ Misandry Myth หรือมายาคติเรื่องที่ว่าผู้หญิงเกลียดผู้ชายนั่นเอง งานวิจัยดังกล่าวตีพิมพ์ในวารสาร Psychology of Women Quarterly นำโดย Aífe Hopkins-Doyle นักจิตวิทยา และผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ สำรวจผู้เข้าร่วมงานวิจัยเกือบ 10,000 คน จาก 9 ประเทศ ทั้งประเทศตะวันตกและเอเชีย ได้แก่ อิตาลี โปแลนด์ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ซึ่งเธอพบว่าเฟมินิสต์มีแนวโน้มที่จะมีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้ชาย มากกว่าจะเกลียดผู้ชายด้วยซ้ำ ข้อมูลที่ถูกนำมาวิเคราะห์ในงานวิจัยชิ้นนี้ มาจากคำถามหลากหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นความหมายของเฟมินิสม์สำหรับแต่ละคน ความเชื่อทางอุดมการณ์ การมีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวของเฟมินิสต์ และทัศนคติที่มีต่อผู้ชาย เช่น คิดเห็นอย่างไรกับผู้ชายที่ทำตัวเหมือนเด็กเมื่อเขาป่วย หรือคิดเห็นอย่างไรกับการที่ผู้หญิงแสวงหาอำนาจโดยการควบคุมผู้ชาย ฯลฯ งานวิจัยครั้งแรก มุ่งเน้นไปที่ทัศนคติต่อผู้ชายในหมู่ผู้หญิงอิตาลี โปแลนด์ สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร และครั้งที่สองมุ่งเน้นไปที่ต่อผู้ชาย และแนวคิดเฟมินิสม์ ในหมู่ผู้หญิงจีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ผลการศึกษาทั้งสองครั้งพบว่าทั้งคนที่เป็นเฟมินิสต์ หรือไม่ได้เป็นเฟมินิสต์ ต่างก็มีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้ชาย เพียงแต่คนที่เป็นเฟมินิสต์ อาจจะมีเมตตากับผู้ชายน้อยกว่าคนที่ไม่เป็นเฟมินิสต์ หรือพูดง่ายๆ ว่าจะโกรธผู้ชายมากกว่า ในทุกๆ ความไม่เท่าเทียมทางเพศ Hopkins-Doyle ยกตัวอย่างการเคลื่อนไหว #MeToo ที่เกี่ยวเนื่องกับการถูกคุกคามทางเพศ ที่พบว่า “แนวคิดเฟมินิสม์เชื่อมโยงกับความโกรธที่ผู้ชายข่มเหงผู้หญิง แต่ไม่ได้เชื่อมโยงกับการประเมินคุณค่าผู้ชายในแง่ลบไปเสียทั้งหมด” นักวิจัยทำการศึกษาต่อเนื่องไปจนถึงการศึกษาครั้งที่ 4 จนพบว่า เฟมินิสต์มองว่าผู้ชายก็เหมือนผู้หญิง (เป็นคนเท่ากัน) แต่ขณะเดียวกันก็สามารถเป็นภัยคุกคามผู้หญิงได้ ซึ่งต่างจากคนที่ไม่ได้เป็นเฟมินิสต์ที่ไม่ได้คิดแบบเดียวกันนี้ “เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้เป็นเฟมินิสต์ เฟมินิสต์บางส่วนคิดว่าผู้ชายเป็นภาพแทนของการคุกคามศักดิ์ศรีและสวัสดิการของผู้หญิงมากกว่า” Hopkins-Doyle กล่าว ซึ่งนั่นอาจหมายถึงการที่ทุกวันนี้แนวคิดชายเป็นใหญ่ยังมีอยู่ทั่วโลก และในหลายครั้ง สวัสดิการที่เอื้อต่อผู้หญิงนั้นมีน้อยกว่าผู้ชาย หรือกระทั่งความไม่เท่าเทียมทางรายได้ หรือทัศนคติลบๆ ที่มีผลต่อการจ้างงาน ก็ยังมีในผู้หญิงหรือเพศหลากหลายมากกว่าผู้ชาย เฟมินิสต์จึงมองว่า ผู้ชายอาจเป็นคนที่เข้ามาคุกคามทำให้ไม่ได้เกิดความเท่าเทียมทางเพศ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนเรียกร้องสวัสดิการผ้าอนามัยฟรี ผู้ชายบางคนก็ยังตั้งคำถามว่า ทำไมต้องฟรี? แล้วผู้ชายได้อะไร? ซึ่งก็แสดงถึงทัศนคติที่กลัวตัวเองจะเสียเปรียบในสังคมอยู่ ทั้งที่ความจริง ไม่ได้เสียเปรียบอะไรเลย สำหรับผู้วิจัย ชุดความคิดนี้ส่งผลให้แต้มด้านทัศนคติเชิงบวกต่อผู้ชายในงานวิจัยนี้น้อยลงก็จริง แต่ขณะเดียวกัน เฟมินิสต์ก็รับรู้ว่าผู้ชายและผู้หญิงนั้นเท่ากัน ซึ่งข้อนี้ได้คัดง้างกับแนวโน้มก่อนหน้า ที่ว่าเฟมินิสต์มีทัศนคติเชิงลบต่อผู้ชาย ไม่เพียงเท่านั้น Hopkins-Doyle ยังมุ่งวิจัยต่อมาถึงครั้งที่ 5 และเธอก็ยังพบว่าเฟมินิสต์ไม่ได้เกลียดผู้ชาย “เราพบหลักฐานน้อยมากที่แสดงว่าเฟมินิสต์มีทัศนคติลบๆ ต่อผู้ชาย ดังที่แนวคิดเหมารวมนำเสนอกันมา เราขอเรียกการเหมารวมนี้ว่า มายาคติเรื่องผู้หญิงเกลียดชังผู้ชาย (misandry myth) เพราะว่ามันสอดคล้องกับคำจำกัดความในพจนานุกรมของคำว่ามายาคติ ที่เป็นความเชื่อที่ผิดแต่กลับแพร่หลาย สรุปแล้ว การค้นพบนี้หมายความว่า เราผิดพลาดนะ ถ้าจะโต้แย้งแนวคิดเฟมินิสม์โดยอ้างว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเกลียดผู้ชาย” Hopkins-Doyle กล่าว “เฟมินิสม์ทำให้เกิดความก้าวหน้าที่น่าประทับใจมากมายทั้งต่อตัวผู้หญิง เด็กผู้หญิง ตลอดจน ผู้ชาย และเด็กผู้ชาย” และเธอย้ำว่า “เฟมินิสต์สามารถไม่ชอบการข่มเหงจากระบบชายเป็นใหญ่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไม่ชอบผู้ชาย” อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ไม่ได้มีแค่ผู้ชายที่มองว่าเฟมินิสต์เกลียดผู้ชาย เพราะผู้หญิง หรือ LGBTQ+ บางส่วนก็มองว่าคนที่นิยามตัวเองว่าเป็นเฟมินิสต์ล้วนเกลียดผู้ชาย ซึ่งแม้ว่างานวิจัยนี้จะชัดเจนว่า เฟมินิสต์ในสังคมหลายคนไม่ได้เกลียดผู้ชาย แต่เราก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าบางคนจะไม่ได้เกลียด เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ก็ล้วนมีความแตกต่างหลากหลาย เฟมินิสต์ก็เช่นเดียวกัน ที่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความคิดในรูปแบบเดียวกันหมด แต่หากลองเปิดใจ ไม่เหมารวมว่าเฟมินิสต์เป็นแบบใดแบบหนึ่ง หรือมองหัวใจการขับเคลื่อนของเฟมินิสต์ที่ว่าด้วยความเท่าเทียมทางเพศนั้นเป็นแกนหลัก ก็อาจทำให้ทุกคนไม่ตัดสินเฟมินิสต์ทุกคนเป็นภาพเดียวกัน และรับฟังข้อเรียกร้องต่างๆ ที่พวกเขาต้องการอยากสื่อสารมากขึ้นก็ได้ และที่สำคัญ การตั้งคำถามกับระบบชายเป็นใหญ่นั้นเป็นคนละเรื่องกับการมีอคติต่อเพศชายทุกคนโดยสิ้นเชิง อ้างอิง: <a href="https://www.psypost.org/2023/11/large-psychology-study-debunks-stereotype-of-feminists-as-man-haters-214480" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psypost.org/2023/11/large-psychology-study-debunks-stereotype-of-feminists-as-man-haters-214480</a> <a href="https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-12762617/Feminists-DONT-hate-men-scientists-say-debunk-long-standing-stereotype.html" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-12762617/Feminists-DONT-hate-men-scientists-say-debunk-long-standing-stereotype.html</a> <a href="https://www.vice.com/en/article/93k8by/feminists-dont-hate-men-study" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.vice.com/en/article/93k8by/feminists-dont-hate-men-study</a>&nbsp;

ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และปาเลสไตน์ ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง ในพื้นที่อย่างสถาบันการศึกษาซึ่งควรจะเปิดกว้างต่อการแสดงออกทางความคิดได้อย่างเสรีของคนรุ่นใหม่ ก็อาจกำลังเกิดประเด็นที่สร้างความขัดแย้งไม่น้อยไปกว่ากัน เมื่อแถลงการณ์ล่าสุดจากมหาวิทยาลัย USC ในแคลิฟอร์เนีย (University of Southern California) ประกาศยกเลิกการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีจบการศึกษาประจำปีนี้ เนื่องจากตัวแทนนักศึกษาปริญญาตรีผู้กล่าวสุนทรพจน์ที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ ถูกกล่าวหาว่าเป็นฝ่าย ‘สนับสนุนปาเลสไตน์’ (Pro-Palestinian)

มหาวิทยาลัย Southern California 
ยกเลิกการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีจบการศึกษา เมื่อตัวแทนนักศึกษาที่จะได้ขึ้นเวที ถูกมองว่าเป็นฝ่ายสนับสนุนปาเลสไตน์

‘โอรีนี ไคปารา’ (Oriini Kaipara) คือผู้ประกาศข่าวหญิงคนแรกในโลกที่มีรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าเมารีที่เรียกว่า ‘โมโก’ หรือ ‘Moko Kauae’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเก่าแก่ของชาวเมารี

Oriini Kaipara ผู้ประกาศข่าวจากชนเผ่าเมารี ที่พร้อมยืนหยัดเพื่ออัตลักษณ์ชนเผ่า แม้ถูกวิจารณ์เรื่องรอยสัก Moko บนใบหน้าว่า ‘ดูไม่เหมาะสม’ 

ฮันเตอร์ เชเฟอร์ (Hunter Schafer) นักแสดงดาวรุ่งแห่งฮอลลีวูด เพิ่งเปิดเผยผ่านบทสัมภาษณ์กับนิตยสาร GQ ว่าเธอได้ปฏิเสธที่จะรับเล่นบทคนข้ามเพศไปเป็นจำนวนมาก เพราะเธอไม่อยากติดอยู่กับคำนำหน้าว่าเป็น ‘นักแสดงทรานส์’ อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Thoughts

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

MIRROR TEAM

RELATED

HOT TOPICS