ใครที่ยังรักร่างกายตัวเองไม่ไหว ลองมองร่างกายตัวเองอย่างเป็นกลางดูก็ได้นะ

Body neutrality เมื่อการคิดบวกมันยาก ให้มองร่างกายตามความเป็นจริง

เคยมองร่างกายตัวเองในกระจกแล้วรู้สึกไม่ชอบบ้างมั้ย? เมื่อเกิดความรู้สึกนี้ ก็มักจะได้ยินเสียงในหัวสร้างความรู้สึกดีกับเรือนร่างของตัวเองด้วยวิธี Body Positivity เสมอ (มองร่างกายในเชิงบวก รู้สึกดีไปกับสิ่งที่เห็น หรือคอยบอกตัวเองว่าฉันสวย)&nbsp;บางคนเลือกใช้วิธีคิดนี้แล้วได้ผล แต่บางคนกับรู้สึกกลับยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน วันนี้เราเลยอยากชวนทุกคนมารู้จักอีกหนึ่งวิธีคิดนั่นคือการมองร่างกายตัวเองอย่างเป็นกลาง หรือ Body Neutrality พิจารณาที่ความรู้สึกจริงๆ และฟังก์ชั่นของร่างกายมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก&nbsp;Body Neutrality เป็นชุดความคิดใหม่ที่ฝั่งตะวันตกเริ่มพูดกัน เมื่อมองว่า Body Positivity นั้นไม่เวิร์ก หรือกระทั่งท็อกซิก เพราะคนที่ไม่ชอบร่างกายตัวเองจริงๆ กลับกลายเป็นว่าไม่รักตัวเอง วิธีคิดอีกแบบเลยเกิดขึ้ด้วยการเสนอให้เราลองยอมรับร่างกายของตัวเองตามสถานะภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ถ้ารักพุงย้อยๆ ของตัวเองไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน แค่ยอมรับมัน และหากตัดสินใจจะเปลี่ยนแปลงก็เมื่อมันเริ่มส่งผลต่อสุขภาพ ไม่ใช่แค่เพราะมันดูไม่สวยในสายตาใครหรือกระทั่งในสายตาตัวเองแล้วเราจะเริ่มต้นมองร่างกายตัวเองอย่างเป็นกลางได้ยังไง? คงไม่มีสิ่งไหนดีไปกว่าการเริ่มต้นจากตัวเอง การรู้สึกอย่างเป็นกลางต่อร่างกายของตัวเองนั้น เราไม่จำเป็นต้องเร่งรีบให้มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ความรู้สึกเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจะดีกว่า ให้โอกาสตัวเองได้ค่อยๆ สื่อสารกับร่างกาย เช่น รับรู้ว่าร่างกายของเราทำงานได้ดีอย่างไรบ้าง&nbsp;“แขนของฉันแข็งแรงแล้ว” (แม้จะยังมีส่วนที่ย้อยอยู่บ้าง) “ร่างกายฉันยืดหยุ่นได้ดี” (แม้จะมียังมีเซลลูไลท์ให้เห็น) และก็รับรู้ด้วยว่าร่างกายของเรามีส่วนไหนบ้างที่ทำงานได้ไม่ดี จากนั้นอาจลองกำจัดอารมณ์หรือความรู้สึกแย่ด้วยการยอมรับความจริงให้ได้แบบไม่ต้องพยายาม รวมไปถึงการเริ่มทำกิจกรรมรักตัวเองต่างๆ เมื่อรู้สึกดีกับกิจกรรมนั้นเท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากแรงกดดันจากภายนอกในขณะเดียวกันการเลือกรับประทานอาหารที่ไม่เคร่งคัดกับตัวเองจนเกินไป มีช่วงเวลาให้ได้ลิ้มรสขนมหวานบ้างก็เป็นเรื่องที่สำคัญ รับฟังเสียงของร่างกายตัว ให้ตัวเองได้สนุกสนานกับกิจกรรมที่ทำ และรู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรงในวันที่ใช้ร่างกายมาอย่างหนักด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้วการได้ให้เวลากับตัวเอง สำหรับการเปลี่ยนแปลงความคิดแบบอย่าง หรือนิสัยการมองร่างกายในแง่ดีแบบผิดๆ ไปสู่มุมมองอย่างเป็นกลางหรือดีต่อใจของเรา มันเปลี่ยนไม่ได้เพียงชั่วข้ามคืนสำหรับใครที่พยายามมองร่างกายตัวเองในแง่บวกแล้วกลายเป็นทุกข์แทน ลองมองร่างกายตัวเองอย่างเป็นกลางดูก็ได้นะ&nbsp;

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า ‘Imposter Syndrome’ หรือภาวะของคนที่ชอบคิดว่าตัวเองไม่เก่งกันมาก่อนหน้านี้ แต่ Imposter Syndrome ยังอาจกล่าวได้ว่ามีอะไรมากกว่าการคิดว่าตัวเองไม่เก่งหรือไม่ดีพอ นั่นคือภาวะที่ทำให้เกิดความรู้สึกสงสัย เกิดการตั้งคำถามในคุณค่าของตัวเอง จนท้ายที่สุดอาจนำมาสู่ความรู้สึก ‘ว่างเปล่า’ คล้ายกับว่าเราทำตัวตนหล่นหายได้เลยทีเดียว 

รู้จัก 5 รูปแบบของมนุษย์ที่เสี่ยงต่อภาวะ  Imposter Syndrome ที่ชอบคิดว่าตัวเองไม่ดีพอ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อบุคลิกภาพและสุขภาพจิตได้ในระยะยาว 

งานวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร Lancet Public Health สะท้อนให้เห็นว่า แม้พวกเธอจะมีอายุยืนยาวกว่าผู้ชายก็จริง แต่พวกเธอกลับมี ‘คุณภาพชีวิต’ ที่แย่กว่าผู้ชาย

งานวิจัยใหม่เผย แม้ผู้หญิงจะมีอายุยืนยาวกว่าผู้ชาย แต่กลับมีคุณภาพชีวิตที่แย่กว่า 

เวลาพูดถึงเรื่อง ‘Safe Workspace’ หรือพื้นที่ทำงานปลอดภัย หลายคนอาจนึกถึงความปลอดภัยจากการถูกคุกคาม ความปลอดภัยของสถานที่ เครื่องมือที่ใช้การทำงาน หรือความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ในที่ทำงาน แต่จริงๆ แล้วยังมีเงื่อนไขมากไปกว่านั้นอย่างเรื่องของ ‘คน’ ที่มีความแตกต่างหลากหลาย ซึ่งต้องการโอกาสและพื้นในการทำงานที่ปลอดภัยไม่ต่างกัน ความแตกต่างที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้คือ ‘Neurodivergent’ หรือคนที่มีภาวะหลากหลายทางระบบประสาท 

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Mind

Body neutrality เมื่อการคิดบวกมันยาก ให้มองร่างกายตามความเป็นจริง

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

WANNIPA JUNPUDSA

RELATED

HOT TOPICS