‘Everyday Sadism’ พฤติกรรมซาดิสม์ในชีวิตประจำวัน เป็นหนึ่งในกลุ่มซาดิสม์ในบริบทของคนที่ ‘ไม่ได้เป็นคนทำ’ แต่แฮปปี้ที่ได้เห็นภาพความรุนแรง แถมจะสะใจลึกๆ ที่มองเห็นคนถูกทำร้าย ถูกเหยียดหยาม ถูกบูลลี่

‘Everyday Sadism’ พฤติกรรมซาดิสม์ในชีวิตประจำวัน ที่แม้ไม่ได้ลงมือทำร้ายใครเอง แต่ลึกๆ สะใจ เมื่อเห็นคนถูกทำร้าย หรือถูกบูลลี่

พูดถึง ‘ซาดิสม์’ หลายคนมักเห็นภาพรสนิยมแบบ BDSM —ที่ไม่ใช่เรื่องผิดบาปแต่ประการใด ตราบใดที่อยู่ภายใต้ความคอนเซนต์—แต่วันนี้ เราอยากชวนคุยถึงซาดิสม์อีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้จำเพาะเจาะจงไปที่เรื่องเซ็กซ์ หากแต่อยู่กับเราในชีวิตประจำวัน มนุษย์ทุกคนอาจมีความซาดิสม์ลึกๆ อยู่ในตัว และคนที่เข้าข่ายซาดิสต์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ลงมือกระทำ หรือผู้สั่งการให้เกิดความรุนแรงทางร่างกายและจิตใจต่อใครสักคนอย่างเดียว เพราะแค่เราสะใจลึกๆ ในมุมคนนอกที่มองเห็นคนถูกทำร้าย ถูกเหยียดหยาม ถูกบูลลี่ ฯลฯ เราก็อาจเข้าข่ายซาดิสต์โดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้เรียกกันว่า ‘Everyday Sadism’&nbsp;พฤติกรรมซาดิสม์ในชีวิตประจำวัน แม้หลายคนจะติดภาพว่าคนซาดิสต์จะต้องอยู่ในบทบาทผู้ลงมือกระทำที่แสดงออกให้ชัดกันไปเลยว่าฉันสะใจ และแฮปปี้ที่ได้ทำร้าย ทุบตี ดูถูก เหยียดหยาม Everyday Sadism จึงเป็นหนึ่งในกลุ่มซาดิสม์ในบริบทของคนที่ ‘ไม่ได้เป็นคนทำ’ แต่แฮปปี้ที่ได้เห็นภาพความรุนแรงด้านต่างๆ ตรงหน้า และน่าสนใจที่มีหลายคนกำลังเป็นอยู่ (และถ้าไม่แน่ใจว่าตัวเองเสี่ยงเป็นหรือไม่ ลองทำความเข้าใจผ่านบทความนี้ดูก่อนก็ได้) เราขอหยิบยกการศึกษาของนักจิตวิทยามหาวิทยาลัยบริติชโคลอมเบียอย่าง Erin Buckels ที่สำรวจเรื่องนี้โดยตรง ซึ่งพบว่าคนที่มีรูปแบบซาดิสม์ที่ไม่ได้โจ่งแจ้งว่าเป็นซาดิสต์ก็อาจกลายเป็นคนที่ก้าวร้าวมากขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นมากกว่าคนทั่วไป “เราทุกคนคงเคยเจอผู้คนในชีวิตประจำวันที่อย่างน้อยๆ เขาก็ดูเหมือนจะสนุกกับการทำร้ายผู้อื่น… everyday sadists ขาดความเห็นอกเห็นใจ และพวกเขามีแรงจูงใจภายในที่จะทำร้ายผู้อื่น อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ประพฤติตนในลักษณะที่เห็นเป็นอาชญากรรม หรือเป็นอันตราย” Erin Buckels ย้ำ เพราะหากมองแบบนี้ ถ้ารู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ แต่เก็บไว้ในใจคนเดียว ไม่ได้แสดงออกมาให้ใครรู้ ก็ดูจะไม่ได้จะทำให้ใครเดือดร้อนได้ จึงเป็นเรื่อง “เฉพาะในสถานการณ์ที่สนับสนุนความโหดร้าย หรือทำให้กลายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในสังคมถึงจะเข้าข่ายพฤติกรรมอันตราย” นักจิตวิทยาและนักบำบัดครอบครัว Fran Walfish บอกว่าจริงๆ บุคคลที่มีพฤติกรรมซาดิสต์ในชีวิตประจำวันอาจมาในรูปแบบ “เพื่อนร่วมงานที่ทำให้คุณขายหน้า และยิ้มหรือดูเหมือนจะมีความสุขจากการทำร้ายคุณ หากคุณมี self-advocate หรือพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้เขารู้สึกเดือด เขาจะตอบโต้ด้วยการแก้แค้น ทำให้คุณอับอายมากกว่าเดิม” หากมองในบริบทการอยู่ร่วมกันในสังคม Erin Buckels ยกตัวอย่างเหตุการณ์ในสงครามขึ้นมา ที่เราคงจะได้เห็นภาพของการทารุณกรรม ซึ่งพฤติกรรมโหดร้ายทุกรูปแบบนั้นมีส่วนกระตุ้นความสุขของซาดิสต์ได้ หากเรายกตัวอย่างบริบทไทยที่เห็นได้ชัด อาจเป็นช่วงการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ที่มีหลายคนสะใจกับการที่ประชาชนโดนยิง โดนแก๊สน้ำตา หรือโดนทำร้าย แม้จะไม่ได้ลงมือทำเอง แต่นั่นอาจเข้าข่ายความซาดิสม์ เพราะแง่หนึ่งมันก็เหมือนการสนับสนุนความรุนแรงโดยยืมมือคนอื่น หรือการที่บางคนโทษเหยื่อที่ถูกคุกคามทางเพศว่าสมควรโดนแล้วด้วยความสะใจ นั่นก็อาจเป็นซาดิสม์รูปแบบหนึ่งได้เช่นกัน ถามว่าจะไม่เป็นปัญหาใช่ไหม ถ้าเราไม่แสดงออกถึงความสะใจลึกๆ ของเราออกมา คำตอบคือคงขึ้นอยู่กับมุมมองแต่ละคน เพราะทุกชอยส์ก็มีผลลัพธ์ที่ต่างกัน สมมติเลือกจะไม่ออกความเห็นต่อความรุนแรงนั้นๆ ลึกๆ แล้วอาจมองเป็นการเพิกเฉยต่อความรุนแรงก็ยังได้ หรือหากเลือกจะออกความเห็นออกมาโต้งๆ ว่าสะใจ นั่นก็อาจเป็นการสนับสนุนให้เกิดความรุนแรง หรือบางคนอาจเลือกแสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง แต่ลึกๆ นั้นเห็นด้วย และยังมีอีกหลายทางที่หลายคนต้องชั่งน้ำหนักกันดูถึงเลเวลความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นตามมา ในการศึกษาของ Erin Buckels ได้ทำการสำรวจหลายด้านมาประกอบกัน ทั้งการวิเคราะห์ในห้องแล็บเรื่องพฤติกรรม ที่เธอวิเคราะห์ผู้เข้าร่วมที่รู้สึกสนุกกับการทำร้ายแมลง (หรือสัตว์) พบว่าคนที่เป็น everyday sadists นอกจากสนุกแล้ว ยังจะรู้สึกเสียใจถ้าไม่ได้ฆ่าแมลง รวมถึงเธอยังสร้างการแข่งขันโจมตีคู่ต่อสู้ให้ผู้เข้าร่วม พบว่า everyday sadists จะทำร้ายคู่ต่อสู้ได้เร็ว และตั้งใจอย่างหนักเพื่อหาโอกาสที่จะทำลายคู่ของพวกเขาให้มากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ด้วย Short Sadistic Impulse Scale (SSIS) ที่พัฒนาโดยนักจิตวิทยาจาก University of College Cork ประกอบไปด้วย 10 ข้อ ใครอยากสำรวจตัวเอง ก็ลองดูได้นะ 1. ฉันสนุกที่ได้เห็นคนเจ็บปวด (I enjoy seeing people hurt.) 2. ฉันจะสนุกที่ได้ทำร้ายใครสักคนทางร่างกาย ทางเพศ และทางอารมณ์ (I would enjoy hurting someone physically, sexually, or emotionally.) 3. การทำร้ายผู้คนคงจะน่าจะตื่นเต้น (Hurting people would be exciting.) 4. ฉันทำร้ายผู้คนเพื่อความสนุกของฉัน (I have hurt people for my own enjoyment.) 5. ผู้คนจะสนุกกับการทำร้ายคนอื่นหากพวกเขาลองทำดู (People would enjoy hurting others if they gave it a go.) 6. ฉันมีจินตนาการเกี่ยวข้องกับการทำร้ายผู้คน (I have fantasies which involve hurting people.) 7. ฉันทำร้ายผู้คนเพราะฉันทำได้ (I have hurt people because I could.) 8. ฉันจะไม่ทำร้ายใครโดยเจตนา (I wouldn’t intentionally hurt anyone.) 9. ฉันทำให้คนอื่นอับอายขายหน้าเพื่อให้พวกเขาอยู่ในเส้นที่ต้องการ (I have humiliated others to keep them in line.) 10. บางครั้งฉันก็โกรธจนอยากทำร้ายผู้คน (Sometimes I get so angry I want to hurt people.) หากคุณติ๊กถูก 2 ข้อ คุณก็เสี่ยงต่อ everyday sadism ยิ่งหากติ๊ก 4 ข้อ ยิ่งผิดปกติ หากมากกว่านั้นก็ไม่ต้องพูดถึง คุณอาจจะเป็นไปแล้ว อย่างที่บอกไปตอนต้น ว่ามนุษย์อาจจะมีความซาดิสม์อยู่ในตัว อยู่ที่ว่าใครจะเป็นมาก เป็นน้อย และแสดงออกมาอย่างไร แต่อีกแง่ที่ชวนตั้งคำถามคือ หากคุณไม่ได้รู้สึกรู้สากับความรุนแรงตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย แถมยังสะใจลึกๆ คุณก็อาจมีชุดความคิดบางอย่างที่อันตรายอยู่ในตัวเอง ที่ปล่อยไว้นานเข้าก็อาจจะไม่ดีทั้งกับตัวเอง และคนอื่นได้ &nbsp; อ้างอิง: <a href="https://www.everydayhealth.com/emotional-health/everyday-sadists-walk-among-us-study-says.aspx" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.everydayhealth.com/emotional-health/everyday-sadists-walk-among-us-study-says.aspx</a> <a href="https://www.psychologytoday.com/intl/blog/fulfillment-any-age/201503/10-ways-spot-everyday-sadist" rel="noopener noreferrer" target="_blank">https://www.psychologytoday.com/intl/blog/fulfillment-any-age/201503/10-ways-spot-everyday-sadist</a>

บิลลี อายลิช (Billie Eilish) นับเป็นหนึ่งในศิลปินที่ออกมาบอกเล่าเกี่ยวกับเซ็กซ์ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเสมอ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นอีกหนึ่งหมุดหมายของการพูดเรื่องเซ็กซ์ให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิต 

Billie Eilish กับการพูดถึงเรื่องเซ็กซ์ของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาอีกครั้ง และครั้งนี้เธอเปิดเผยว่าชอบผู้หญิง

นับตั้งแต่เปิดตัวในฐานะภรรยาของคานเย เรายังไม่ค่อยได้เห็นภาพของเบียนกาที่มีใบหน้ายิ้มแย้มเท่าไรนัก ในบางคลิปวิดีโอเธอดูเหมือนคนที่กำลังอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด ภาษากายที่สื่อออกมาดูคล้ายไม่ได้แฮปปี้กับสิ่งที่ต้องทำ และเราก็แทบไม่เคยได้ยินเสียงของเธอเลยด้วยซ้ำ

อีกด้านของการคบกับ “คนมีอำนาจ” จากเรื่องราวของ Bianca Censori ที่ต้องถูกจดจำในฐานะ “เมียใหม่ที่โดน Kanye West จับแต่งตัวโป๊”

ทุกวันนี้ความสัมพันธ์แบบ Polyamory เป็นที่พูดถึงและได้รับการยอมรับมากกว่าแต่ก่อน หลายๆ คู่ (หรือคี่) ที่คบกันในรูปแบบนี้ได้ออกมาบอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวเองผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้สังคมได้รู้เห็น และทำความเข้าใจกับเรื่องนี้มากขึ้น

MOVIN’ON

CULTURE

SELF

STYLE

CONVERSATION

VDO

Mind

แชร์บทความนี้

แชร์บทความนี้

Author

PATCHSITA PAIBULSIRI

RELATED

HOT TOPICS